[ Take me out ] - 03
[ Take me Out ]
- ตอนที่ 3 -
ถ้าคิดเสี่ยงก็ต้องยอมรับผลของความเสี่ยง
เขาซึ้งถึงความหมายของมันก็วันนี้
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์อาบไล้ทั่วร่างเปลือยที่ทอดร่างอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบางในห้องที่ไม่คุ้นเคย
เขารู้สึกถึงไออุ่นของดวงอาทิตย์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกหากนอนอยู่ในห้องของตนเอง
รู้สึกดีเหลือเกินที่ห้องห้องนี้แสงสว่างเจิดจ้ากว่าห้องอุดอู้ที่เขาอยู่มาก
ความเมื่อยขบแล่นไปทั้งร่างเมื่อขยับตัวหาใครอีกคนที่ร่วมหลับนอนกกกอดกันทั้งคืน
เขาเหมือนกำลังเสพติดอ้อมกอดนั้นเสียแล้ว ทั้งที่ได้รับมันเต็มอิ่มตลอดคืน
แต่มันไม่พอเพราะยิ่งได้รับเขายิ่งโหยหา
ทว่าเช้านี้มีเขาคนเดียวบนเตียงอย่างไม่ควรจะเป็น
แทฮยอนพลิกร่างนอนหงายขยับผ้าห่มปิดคลุมร่างก่อนส่ายสายตามองหาเจ้าของห้องและเหมือนสิ่งยืนยันว่าคนที่มองหาไม่อยู่ในห้องจะเป็นเสียงโหวกเหวกจากสักที่หนึ่งในบ้านดังมาให้ได้ยิน
เขาผุดตัวลุกนั่งหวังเดินตามหาเสียงนั้นทว่าความรวดเร็วเกินประมานตัวเองทำให้ร้าวไปทั้งตัว
ยิ่งไปกว่านั้นความปวดหนึบบริเวณท้องน้อยและสะโพกก็มีมากจนต้องนิ่วหน้าแถมยังร้อนตัวผ่าวๆ
เหมือนจะเป็นไข้ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ที่ยาวถึงต้นขาเพียงตัวเดียวก่อนเดินออกไปตามเสียงที่ได้ยิน
ร่างผอมไม่ได้เดินลงจากบันไดเพราะเสียงนั้นดังจนลั่นมาถึงข้างบนตั้งแต่เขาเปิดประตูออกจากห้อง
บวกกับไม่มีแรงที่จะก้าวลงขั้นบันไดในตอนนี้เพราะเขายังอึดอัดและเหนียวตัวอยู่มาก
ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังหรอกนะ
แต่เมื่อได้ยินแล้วเขาก็ก้าวขาไม่ออกเหมือนกัน
“พี่ คราวนี้นายเอาจริงนะ
นายให้โอกาสพี่ถึงอาทิตย์หน้าถ้าไม่มี นายเอาตายแน่”
“กูจะเอาจากไหนมาให้
กูใช้ไปหมดแล้ว”
“เงินเกือบสามสิบล้านวอนพี่แม่งใช้อะไรวะ
นายรู้แล้วด้วยว่าพี่เป็นหนอนให้บ่อนเสี่ยควอน”
“ช่างแม่ง
กูไม่มีจะคืนนี่วะ”
“พี่ กูก็ไม่รู้จะช่วยไงนะ
เท่านี้ก็เสี่ยงลูกปืนเสี่ยจะแย่แล้ว”
“เออ กูจะรีบหามาคืน”
“นายกัดไม่ปล่อยนะพี่
ยิ่งมีเรื่องหนอนมาเอี่ยว นายแม่งยิ่งโมโห”
“กูรู้”
“พี่ ผมไม่อยากจะกระทืบพี่แล้วนะเว้ย
ผมนับถือพี่เหมือนพี่คนนึง”
“อย่ามานับถือกูเลย กูมันก็แค่นี้”
ประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินดังขึ้นไล่เลี่ยกับเสียงของแตกที่น่าจะเป็นฝีมือของเจ้าของบ้านเนื่องมาจากมันดังขึ้นมาหลังจากเสียงประตูรั้วที่ปิดลงเสียงดัง
แทฮยอนรู้ตัวว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงที่เดิม
เขาพาร่างตัวเองเดินกลับเข้าไปในห้องที่ใช้หลับนอนมาทั้งคืน
ทันทีที่ก้าวเข้าห้องสายตาก็พลันไปเห็นกระเป๋าใกล้ๆ
กับมุมห้องอีกฝั่งของฟูกนอนที่ไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อคืน เขาไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้มากไปกว่านี้ถ้าสิ่งที่มันโผล่พ้นขอบกระเป๋าออกมาให้เห็นไม่ใช่ธนบัตรหลายใบที่คิดว่าคงหลายปึกเมื่อเทียบกับขนาดกระเป๋า
ร่างผอมยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
กำลังรวบรวมสติประเมินเหตุการณ์และเหตุผลหลายๆอย่างแก้ต่างให้อีกฝ่ายอยู่ในใจตนเอง
เขาไม่คิดว่าการโกงเงินแค่โต๊ะเดียวของมินโฮมันจะมากมายขนาดนี้
จากที่ฟังเมื่อครู่เขาไม่ได้ปักใจเชื่อจนเห็นเงินจำนวนนั้นกับตา
“อ้ะ!”
“ได้ยินหมดเลยสินะ?” แทฮยอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อประตูเปิดออกและปิดลงแทนที่ด้วยร่างสูงใหญ่ของอีกคนที่โถมมาจากด้านหลัง
มินโฮกดจูบที่ลาดไหล่แคบขาวซึ่งโผล่พ้นคอเสื้อมาล่อสายตา
“ผม..เปล่า...” แทฮยอนอึกอัก แต่ก็รู้ว่ามินโฮไม่มีทางเชื่อ
สุดท้ายจึงกลั้นใจถามออกไป “คุณจะเอาเงินขนาดนั้นไปทำไม?”
“หึ”
ร่างผอมได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วในลำคอ
เขาหันหน้าไปมองใบหน้าหล่อที่วันนี้มันช้ำม่วงน่ากลัวกว่าเมื่อวาน คงเพราะอาการอักเสบ
“ผมแค่..อยากรู้”
เขาไม่กล้าสบตาเพราะมันเหมือนไม่ได้มีอะไรอยู่ในนั้นเลย มันว่างเปล่าจนเกินไป
จนเกินกว่าจะเข้าใจ
“ใครก็อยากได้เงินไม่ใช่หรือไง?”
ร่างหนาพูดเหมือนไม่ยี่หระ สัจธรรมของมนุษย์หน้าโง่ทุกคน เงินคือปัจจัยสำคัญของชีวิต
มันคงไม่เว้นแม้แต่คนตรงหน้าเขา
“แต่...คุณ..”
แทฮยอนไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาพูด เขาอึกอักจนอึดอัดตัวเอง
เขาแค่อยากรู้ว่าเงินมากมายขนาดนั้นอีกคนจะเอาไปทำอะไร
มันเยอะจนเขาไม่เคยจะจินตนาการถึงเลยด้วยซ้ำ
เงินนี้อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปได้ทั้งชีวิต แต่มันได้มาด้วยวิธีที่เขาก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
“ฉันทำไม?” ร่างหนาถามย้ำ
เขาไม่ได้สนใจท่าทางอึกอักประหม่าของอีกคน
แค่เขาไม่ชอบสายตาที่เหมือนกำลังคาดคั้นผิดหวังนั่นต่างหาก
มันมีอิทธิพลกับความคิดเขา
แทฮยอนมีอิทธิพลกับเขาแล้วจริงๆ
เงินนั่นเขาเอามาก็มีเหตุผลของเขา
แต่เหตุผลมันเอนเอียงเปลี่ยนแปลงเพราะบางอย่างที่เขาก็ยังหาคำตอบจริงๆ ไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาบอกว่าควรทำยังไงกับมัน
เพราะแค่การที่อีกคนเข้ามามีบทบาทในชีวิตเขามันก็มาจนเกินไปแล้ว
“เงินนั่น...เยอะมาก”
คนผิดขาวซีดบอกเสียงสั่น “เยอะจริงๆ นะครับ เจ้าของเขาก็คงอยากได้คืน”
“แล้วไง?” เขาเลิกคิ้ว
ไม่อยากจะคิดสนใจแต่มันก็อดจะอารมณ์เสียไม่ได้ เงินนั่นมันจะทำไมกันนักหนา
ไอ้พวกนายทุนหน้าเลือดเจ้าของบ่อนขนหน้าแข่งมันไม่ร่วงหรอกเงินแค่นี้ บอกตามตรงว่าไม่ชอบคำพูดที่เหมือนกับตำหนิติเตียนจากอีกคน
ร่างหนาคิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์ของเขากับอีกคนคือความสบายใจของคนแบบเดียวกัน
เขาเห็นความสิ้นหวังในแววตานั้นมันไม่ต่างจากเขาจนคิดว่าอีกคนจะเห็นสิ่งที่เขาเห็น
สนับสนุนสิ่งที่เขาทำทุกอย่าง รับความหวังจากความเสี่ยงในชีวิตให้ได้
แต่นั่นแหละ...มันตรงกันข้าม
“คุณไม่คิดจะคืน...จริง...หรอ”
ร่างผอมกลั้นใจถามทันทีที่เห็นท่าทางไม่สบอารมณ์
เขาก็แค่ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัวอีก
“เรื่องของฉัน”
สุดท้ายคนที่ไม่เคยจะต้องแคร์ใครก็ไม่แคร์ใครอย่างเคย นิสัยที่เคยโผงผาง
เกรี้ยวกราดไม่เคยเปลี่ยนได้ ชีวิตเป็นของเขา เขาไม่ชอบที่จะให้ใครมาสอนหรือแนะนำ
“ผมว่า...” แทฮยอนยังไม่หยุด อีกฝ่ายเหมือนกำลังโกรธทว่าท่าทางนั้นก็ยังนิ่ง
“ฉันพูดชัดแล้วนะว่ามันเรื่องของฉัน!” เขาใจกระตุก
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงนั้นจริงจังเสียจนขนลุก เขาเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
เพราะไม่อยากมองใบหน้าคมที่เริ่มฉายแววความดุดันจนน่ากลัว แต่อดน้อยใจไม่ได้
เขาคิดว่าเขาจะมีสิทธิ์พูดอะไรบ้างในฐานะคนคนหนึ่งที่ความสัมพันธ์ของเรามันดำเนินต่อเนื่องจนใกล้ชิด
จนลืมไปว่าอาจมีแค่เขาฝ่ายเดียวที่ให้ค่าความใกล้ชิดกับมัน
“เสี่ยอาจเอาคุณถึงตาย
เพื่อนคุณก็บอกแล้ว” แทฮยอนก้มหน้างุดพูดเสียงเบา มินโฮยกมือขึ้นเกาหางคิ้วพร้อมกับเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มระงับอารมณ์เอาไว้
“คุณจะเอาเงินขนาดนั้นไปทำอะไร...แลกกับชีวิตคุณเลยน่ะหรอ..”
มินโฮเริ่มเหนื่อยที่จะอธิบายและเบื่อที่จะต้องมาพูดทำความเข้าใจเพราะวันนี้อย่างไรก็คงไม่เข้าใจกันหรอก
เราคิดกันคนละแบบ
“เงิน...ใครก็อยากได้ทั้งนั้น”
“แต่มันเกินจำเป็นสำหรับคนอย่างเรานะครับ..”
แทฮยอนโพล่งออกไป ใช่!.. มันเกินจำเป็นสำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำด้วยอาชีพดำมืดอย่างเรา
การใช้ชีวิตไปวันๆ ที่นี่ไม่ได้ต้องใช้เงินมหาศาลขนาดนั้นเสียหน่อย “มันไม่ได้มีค่าไปกว่าชีวิตของคุณ...”
“เหอะ ตลกว่ะ!”
เขาแค่นหัวเราะพลางใช้มือเชยคางอีกคนให้สบตากัน “เธอก็อยากได้เงินไม่ใช่หรอถึงได้ทำงานแบบนี้”
“ครับ?”
ร่างผอมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของอีกคน อยู่ดีดีเขาก็เจ็บจี้ดที่หัวใจ
คำพูดเมื่อกี้อย่างกับการดูถูก
ทั้งที่เคยชินกับคำจำพวกนี้แล้วแต่พอมันออกมาจากปากคนที่เขายอมมอบทุกอย่างให้มันก็เหมือนมีมีดมากรีดลงกลางใจ
“พวกเธอก็ยอมแลกศักดิ์ศรีกับเศษกระดาษพวกนั้นไม่ใช่หรือไง?”
มินโฮตอบโต้โดยไม่ทันคิด เขาไม่ได้ไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้น
ไม่ได้คิดว่ามันจะกระทบใจคนฟังซักเท่าไหร่
แทฮยอนน้ำตาคลอเอ่อแต่ไม่ปล่อยให้มันไหลซักหยด
ได้แต่คิดกับตัวเองว่าความสุขของเขาทำไมมันผ่านไปรวดเร็วราวกับสายลม
หรือเพราะว่ามันเป็นความสุขที่เขาคิดไปเพียงฝ่ายเดียวมาตลอด เขาไม่อยากให้อีกคนเข้าใจเรื่องราวเมื่อคืนผิดไปจากที่เขาทำ
เขาให้ ไม่ได้ต้องการแลกกับอะไร “ผมไม่ใช่.. ผมให้คุณ ผมให้..”
ร่างผอมไม่รู้ตัวสักนิดว่าพูดอะไรวกไปวนมาจนจับใจความไม่ได้
ในสมองเขาทุกคำพูดมันตีรวนวนเวียน ในใจก็เช่นกัน เขารู้ตัวแค่ว่าเขาไม่คิดขาย
ไม่เคยอยากแลกมันกับเงิน มันมีค่าสำหรับเขา
และเขาให้ค่ากับมันแลกกับหัวใจไม่ใช่เงิน
แค่หวังว่าอีกคนจะใจตรงกัน
เขาคงให้ค่ามันมากเกินไปจริงจริง...
เพราะอีกคนคงไม่ได้ให้ค่าอะไรกับมันเลยสักนิด
มินโฮนิ่งค้างไปชั่วครู่เมื่อเห็นตาแดงก่ำทว่าไม่มีน้ำตาไหลราวกับอีกคนอดกลั้นมันไว้อย่างที่สุด
แทฮยอนหันหลังให้ก่อนจะหาเสื้อของตัวเองมาใส่อย่างรวดเร็ว
ฝืนร่างที่ปวดร้าวไปทั้งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไม่อายสายตา
จะอายทำไมอีกฝ่ายเห็นมันไปหมดแล้ว ไร้ค่าจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันไม่เอาเปรียบนายหรอก”
ร่างหนาพูดขึ้นตอนที่อีกคนใส่กางเกงเสร็จ เขาเหมือนโดนยั่วโมโหไม่รู้ทำไม
เพียงเพราะคนที่เขาคิดว่าจะเข้าใจทุกอย่างกลับไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
เขาคิดว่าแทฮยอนจะเป็นคนที่มีความคิดใกล้เคียงกับเขาไปทุกอย่างเสียอีก
คนตัวสูงเดินไปที่กระเป๋าใส่เงินที่มุมห้อง
เขาหยิบธนบัตรปึกหนึ่งที่ถูกรัดไว้อย่างดีเดินเข้ามาใกล้คนตัวผอมที่ตอนนี้เห็นการกระทำทุกอย่างก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
แทฮยอนมองเงินที่อยู่ในมืออีกคนนิ่ง
เขาขบริมฝีปากของตัวเองจนเลือดซิบอย่างไม่รู้ตัว มองเงินปึกนั้นแล้วรวดร้าวอยู่ฝ่ายเดียว
สุดท้ายมันก็มีค่าแค่นี้จริงๆ
แค่เงินปึกเดียว....
ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาวิ่งหนีมาตลอด
ฟ้าหลังฝนมันไม่ได้สวยงามเสมอไป
เพราะสายรุ้งที่มองเห็นมันทั้งขาดตอนและไม่เต็มวง
และใครจะรู้ว่าพายุลูกใหม่ก็พร้อมจะพัดมาได้เสมอ
หลังจากวันนั้นแทฮยอนรู้สึกเปลี่ยนไปตลอดกาล
เขาไม่ออกไปมองแสงไฟ ไม่เปิดหน้าต่างไม่แม้แต่จะเดินไปตรงนั้น
วันทั้งวันคลุกตัวอยู่บนฟูก นอนซมอยู่สองวันเพราะพิษไข้รุมเร้าทั้งไข้กายและไข้ใจ พอหายก็ออกไปทำงานให้พี่ในซ่องแลกเงินอย่างเคยแต่ไม่คิดจะออกจากตึก
ทุกอย่างสุมอยู่ในอกเขา
มันปวดแปลบทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าคมเข้มของคนที่เขามอบทุกอย่างให้
ความกลัวแทรกซึมเข้ามาในจิตใจอีกครั้งหลังจากปล่อยให้มันล่องลอยไปท่ามกลางความตื่นเต้น
ระทึกใจทุกครั้งที่อยู่กับอีกคน
พอไม่มีมันความสนุกทุกอย่างที่เอามากลบความเศร้าหมองที่ประคองมาทั้งชีวิตก็สาดซัดเข้ามาอีก
และดูเหมือนจะมากกว่าเดิม
ไม่เคยมีดีกว่าเคยมี
ไม่เคยสัมผัสดีกว่าเคยสัมผัส
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกความรู้สึกหดหู่เกาะกินจิตใจเขาทุกวันคืนอยู่แล้ว
เขาควรปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นโดยที่ไม่ไขว้คว้าหาสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต อย่างน้อยๆ เขาก็จะไร้ความรู้สึกไปกับมันเรื่อยๆ
เฉยชาจนชินชา
ความสุขที่เคยได้แม้ช่วงสั้นๆ มันตอกย้ำให้ความรวดร้าวยิ่งมากขึ้น มันจบไปแล้วและมีเพียงเขาแค่ฝ่ายเดียวที่ต้องทำใจ
วันนั้นเขาไม่รู้จะทำยังไงด้วยซ้ำตอนที่อีกฝ่ายยื่นเงินมาให้
มีคำพูดอยู่ในใจเขาเป็นหมื่นเป็นแสนคำแต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขารับเงินนั้นมาถือไว้ ทำตัวให้สมราคาที่อีกคนตั้งไว้
รับจูบแสนหวานที่หลงใหลแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่นและก้าวออกมาโดยที่ตัวเองไม่เหลืออะไรเลย
เขาทิ้งทุกอย่างไว้ที่บ้านหลังนั้น ห้องนั้น ในกำมือของอีกคน
ทั้งตัวและหัวใจ
คุณค่าและศักดิ์ศรี
ทั้งหมด...
เขาทำตัวเองคำนี้คงเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะไม่มีใครบังคับให้เขารัก
บังคับให้เขาหลงใหล ผู้ชายคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตเพราะเขาเองที่เสนอ
เขาเองที่ตอบสนองทุกความเสี่ยงจนสุดท้ายก็เป็นเขาเองที่จ่ายอย่างสาสม ขาดทุน
และยังตกที่นั่งลำบาก
หากมีใครล่วงรู้เขาคงโดนหนักแน่
หรือหากไม่รู้จนวันนั้นมาถึงเขาก็ไม่ต่างจากสินค้าที่ถูกย้อมแมวขาย
เพราะเขาไม่ได้มีสิ่งที่คนซื้อต้องการอีกต่อไป
ร่างผอมบางนั่งกอดเข่าอยู่บนฟูกนอน
ซุกหน้าลงบนเข่าทั้งสองข้าง ปล่อยให้น้ำตาไหลเปียกกางเกงอย่างเงียบเชียบ
เขาไม่รู้วิธีที่จะทำให้มันหยุดไหล พยายามอยู่ทุกวัน เขาเหนื่อยที่จะร้องแล้ว
ชีวิตก็แค่กลับมาอยู่จุดเดิมซึ่งไม่อาจเหมือนเดิมอีกต่อไป
ถึงไม่ได้ดำมืดเกินไปกว่าที่เคยเป็นแต่เมื่อจ้องแสงสว่างนานๆ พอความมืดคืบคลานมากว่าเราจะปรับตัวมองเห็นอะไรมันก็ต้องใช้เวลา
เหมือนกับเป็นคนตาบอดไปชั่วคราว
ร่างบางเหลือบมองหน้าต่างที่ปิดม่านไว้ด้วยใจว้าวุ่น
เขาคิดถึงคนคนนั้น เขาไม่ได้ออกไปเจอ สถานที่ที่เราเคยไปสูบบุหรี่เขาไม่คิดจะไปอีก
เคยคิดมองลงไปหาหวังเพียงแค่ได้สบตาไร้คำพูด เขาก็ไม่ได้ทำ
ทรมาน...
ยิ่งพยายามก็ยิ่งทรมาน ไม่รู้อีกฝ่ายจะเป็นเหมือนกันมั้ย
และมันก็คงเป็นเขาฝ่ายเดียวที่ทรมานอยู่สินะ
คนคนนั้นคงคิดแค่ว่าจ่ายเงินเขาแล้วทุกอย่างก็จบ
สุดท้ายแล้วความพยายามตลอดหลายวันของเขามันก็ไร้ความหมาย
สองมือปาดน้ำตาก่อนจะเดินไปตรงหน้าต่าง เขาเปิดม่านออกก่อนทอดสายตามองออกไป
จุดเดิมๆ ที่เคยมองหวังเพียงแค่ได้เห็นว่าใครอีกคนยังอยู่ดี
แค่ได้มองเห็นก็เพียงพอแล้ว
แต่คงต้องผิดหวังเพราะแม้แต่เงาเขาก็ไม่เห็น
กวาดสายตามองไม่ทั่วแล้วก็ไม่เจอ
บางทีฝ่ายนั้นคงไม่ได้คิดว่ามันมีความหมายสักนิดกับการมองเห็นกันอยู่ทุกคืน
เขาปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับการมองหาคนคนนั้นได้สักพัก
มองหาความบังเอิญยามค่ำคืนที่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ฝ่ายนั้นก็คงตัดขาดจากเขาไปแล้ว
เดาได้จากความไม่พอใจในวันนั้นที่เขาเข้าไปก้าวก่ายเกินขอบเขตของตัวเอง
เงินเยอะอย่างนั้น มีค่ามากกว่าคนอย่างเขาอยู่แล้ว
คนที่แค่ผ่านเข้าไปในชีวิตของอีกคน
เขาถูกเรียกสติด้วยเสียงของคนรับใช้ของแม่ใหญ่
ผู้ชายตัวสูงใหญ่เปิดประตูห้องเขาเข้ามาแล้วบอกว่าแม่ใหญ่เรียกพบ
“นายหญิงเรียก ให้รีบไปก่อนเปิดร้าน”
แทฮยอนพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินตามผู้ชายคนนั้นออกไป เขาไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร
แต่ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ คนที่มีชนักติดหลังย่อมเกรงกลัวเป็นธรรมดา
ห้องทำงานเล็กชั้นล่างสุดถูกเปิดเข้าไปพร้อมกับที่ตัวเขาสูดหายใจเข้าลึกจนสุดปอด
เขาก้มหัวให้เจ้าของที่นี่ ก่อนหล่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“นั่งสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
ร่างผอมเดินเชื่องช้าหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตรงข้ามหล่อนซึ่งมีโต๊ะทำงานเป็นตัวกั้น
“ครับ?” เขาตอบรับเสียงสั่น
“ช่วงนี่ฉันเห็นแกออกไปข้างนอกบ่อยๆ” หล่อนเกริ่นขึ้นมาเพียงเท่านั้นคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็บีบมือกันแน่น
“ได้เงินจากอีพวกขี้เกียจมันเยอะละสิ”
ทันทีที่ได้ยินประโยคต่อมาเขาเหมือนคนที่โผล่พ้นขอบสระ
หายใจทั่วท้องก็ตอนนั้น “ครับ..”
“แกก็ไม่ต้องไปทำให้มันมาก เคยตัว อีพวกนี้
ให้เงินแกก็แค่หยิบมือไม่ใช่หรอ” หล่อนว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆ
จ้องมองมาที่เขาราวกับสำรวจ “แต่แกก็ดูมีเนื้อขึ้น”
“หรอ..ครับ” แทฮยอนตอบรับเสียงเบา
อาจเพราะช่วงที่เขาไปหามินโฮทุกวันฝ่ายนั้นมีของกินดีดีให้เขาได้กินบ้าง นอกจากข้าวปั้นที่ชอบกินทุกวัน
คิดถึงคนคนนั้นอีกแล้ว
มีเขาคนนั้นอยู่ทุกห้วงความคิดเลย
“ดีแล้ว มีเนื้อมีหนังเสียบ้าง
จับจะได้เต็มไม้เต็มมือ” หล่อนพูดบอกเหมือนกำลังสั่งสอน
มือเลื่อนลงไปใต้โต๊ะก่อนควานหาของบางอย่าง “ฉันให้”
ครีมบำรุงถุงหนึ่งถูกวางไว้ตรงหน้า
แทฮยอนมองมันอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ “ครับ?”
“ไม่กี่วันนี้เสี่ยเขาจะเข้ามาแล้ว
แกต้องเตรียมตัวเสียบ้าง” หล่อนบอก
ก่อนลุกจากเก้าอี้เดินมาหาเขาที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
หล่อนเชยคางเรียวให้ใบหน้าหวายแหงนเงยอยู่ในระดับสายตา “หน้าแกมันดีอยู่แล้ว
ตัวแกก็ไม่มีที่ติ ส่วนเสี่ยเขาชอบแบบสะอาดๆ ถึงยังไงแกก็สะอาดถึงใจเขาอยู่แล้ว”
“ผม..คือ..”
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก
เสี่ยคนนี้ไม่มีรสนิยมรุนแรง ครั้งแรกของแกคงจะดีไม่น้อย” หล่อนพูดพลางยิ้มเยาะ
ปากสีแดงชาดเผยยิ้มน่ารังเกียจ
หมดหนทางแล้ว
แค่ทำอย่างไรไม่ให้ใครรู้ได้
ว่า...เขากำลังย้อมสีตัวเองขายทั้งที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
แต่ถามว่าเขารู้สึกผิดหวังสักนิดมั้ยที่มอบมันให้ใครคนนั้น
บอกเลยว่าไม่... คืนนั้นยังคงเป็นคืนที่ดีที่สุดแม้ตื่นมาแล้ววันรุ่งขึ้นใจเขาต้องสลายอย่างรวดเร็วก็ตาม
หากย้อนกลับไปได้เขาก็ยังเลือกที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น
เพราะไม่ว่าอย่างไรในตอนนั้นเขาก็ได้รับความสุขอย่างถึงที่สุดไม่ใช่แค่ทางกายที่มันอิ่มเอม
แต่ทางใจมันก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึก
“แม่ใหญ่ครับ”
เขาเรียกอีกคนด้วยเสียงที่นอบน้อมที่สุด
“ว่าไง?” หล่อนตอบรับด้วยเสียงนิ่งๆ
“เสี่ยเขาให้เงินเยอะมากเลยหรอครับ?”
ร่างผอมถามออกไปด้วยความอยากรู้ คนคนหนึ่งจะตีราคาค่างวดของเขากันซักเท่าไหร่เชียว
“ครั้งแรกก็อย่างนี้ เขาประมูลกันหลายคนเงินมันก็จำนวนมากหน่อย”
หล่อนพูดอ้อมค้อมเหมือนไม่อยากบอกจำนวน “แกมันเข้าสเป็คไอ้พวกเสี่ยๆ มันทั้งนั้นนี่
ของดีอย่างแกใครก็อยากได้”
“หรอครับ?” ของดีในความหมายของผู้หญิงคนนั้นคืออะไร
เขาไม่อยากเข้าใจหรอก..
“แกไม่ต้องห่วงหรอกนะ
ฉันแบ่งให้แกคุ้มแน่”
เธอพูดพลางย้ายร่างอวบกลับไปนั่งเหมือนไม่อยากจะสาธยายอะไรต่อ
“ผม..ผม..”
“อะไร? ว่ามาเถอะ
หรือว่ามีอะไรที่ปิดบังฉันอยู่” หล่อนมองหน้า
“เปล่า...เปล่าครับ”
แทฮยอนลุกลี้ลุกลนอย่างคนมีความผิด “ผมแค่อยากกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว”
“ก็ไปสิ ฉันก็เรียกมาบอกแค่นี้แหละ”
เธอสะบัดมือไล่
“ครับ”
แทฮยอนลุกขึ้นก่อนจะหันหลังเดินออกไปพร้อมกับเสียงที่ไล่หลังมา
“รักษาตัวแกให้ดี อีกไม่กี่วันแล้ว
ฉันไม่อยากให้มีอะไรพลาด”
พลาดหรอ...
ไม่มีอะไรที่พลาดหรอก
นอกจากหัวใจเขา...
ร่างผอมเดินเบียดพี่ๆ น้องๆ ในตึกเดียวกันขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า
ชั้นล่างกำลังเตรียมตัวเปิดร้านกันวุ่นวาย เขายังไม่เคยมีหน้าที่ในส่วนนี้
ชั้นที่เขาพักอยู่บนสุดของตึกคือชั้น 5 และคนอื่นๆ ในชั้นนี้ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ทำงานเหมือนเขา
ไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่เราทุกคนต่างก็รอวันเชือด ภายใต้การรับเลี้ยงดูเด็กๆ ของแม่เล้าหล่อนหวังผลกำไรถึงที่สุดอยู่แล้ว
แทฮยอนเดินผ่านชั้นแล้วชั้นเล่าเขาเห็นพี่ๆ
น้องๆ หลายคนประทินโฉมประทินผิวเพื่อรับลูกค้ากันอย่างสุดความสามารถ เขาจินตนาการไม่ออกว่าวันหนึ่งเขาต้องเป็นอย่างนั้นหรือ
เขาไม่อยากจะต้องประโคมสิ่งสวยงามให้เห็นชัดแค่เปลือกนอก
เพราะอย่างไรทุกคนที่มาที่นี่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเนื้อในของทุกคนเป็นอย่างไร
ความสกปรกที่ภายนอกยังล้างออกได้ไม่มีใครเห็น แต่ความบิดเบี้ยวในจิตใจไม่มีวันปรับแต่งให้เป็นอย่างเดิมได้
ตัวเราเองรู้ดีที่สุด...
แทฮยอนเปิดประตูห้องก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอย่างเชื่องช้า
เขาเหนื่อยจากการขึ้นบันไดห้าชั้นจนขาล้าไปหมด
เอ้ะ...เขาไม่ได้ปิดไฟหรือ?
“อ้ะ!!! อื้อออ!”
คิดได้เพียงเท่านั้นเขาก็ถูกปิดปากลากไปอีกข้างของประตูก่อนปิดล้อคลงกลอนอย่างรวดเร็ว
เขาดิ้นคลุกคลักในอ้อมแขนของใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาอยู่ในห้องเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ห้องเขาไม่ได้เปิดอย่างห้องอื่นๆ ในตึก
เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดห้องอย่างคนอื่นที่มีห้องของตัวเองไว้บริการแขก
“อย่าร้อง ฉันเอง” เสียงทุ้มกระซิบแนบใบหู
เขากอดร่างผอมแน่นจากข้างหลัง ละมือออกจากริมฝีปากแล้วกอดไว้ทั้งตัว
“คุณ..มาได้ยังไง?” แทฮยอนเสียงสั่น
ตอนแรกเขาอยากจะดิ้นหนีให้ห่างจากอ้อมกอดแต่ทว่าพอได้กลิ่นที่คุ้นเคยและใบหน้าหล่อที่วางอยู่บนไหล่
เขาก็ขยับไม่ออก
“เดินมา” เขาบอกยียวน
จูบลงบนซอกคอขาวอย่างอดไม่ได้
“คุณ!” แทฮยอนขืนตัวออกทันที
เขามองหน้าอีกคนนิ่ง
“เดี๋ยวนี้มีปากมีเสียงหรือไง?” เขายกยิ้มน้อยๆ
กับการขึ้นเสียงของอีกคน
“คุณมาทำไม คุณไม่ควรขึ้นมาบนนี้
แล้วก็คุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่ห้องไหน” แทฮยอนพูดไม่หยุดปาก
เขาผละตัวออกห่างอีกคนได้ประมาณแค่ก้าวเดียวก็ถูกรั้งให้ไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงอีกครั้ง
แทฮยอนดันตัวเองห่างทั้งที่เอวถูกกระชับแนบลำตัวกำยำ
“ฉันคิดถึงเธอ”
ประโยคเดียวเท่านั้นแทฮยอนก็อ่อนไปทั้งตัว
ฝ่ายนั้นมอบจูบแนบแน่นเป็นการย้ำคำตอบที่แม้จะไม่ตรงคำถามแต่มันตอบทุกความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมา
ซงมินโฮรู้แต่ว่ายิ่งอดกลั้นตัวเองแค่ไหนเขาก็ยิ่งโหยหา
เขาอารมณ์ร้อนจนเกินไปและวันนั้นเขาทำอะไรไม่ทันคิด
“คุณไม่ควรอยู่ที่นี่”
แทฮยอนพูดเสียงแผ่ว ก้มหน้าก้มตาทันทีที่อีกฝ่ายถอนจูบออก
ใบหน้าหล่อยังคลอเคลียอยู่ไม่ไกล เขาหลับตาไม่อยากมอง ไม่อยากให้ความรู้สึกมันล้นออกมาจนอีกฝ่ายรู้
“ฉันอุตส่าห์เลือกเข้าห้องถูก
เดาจากระยะหน้าต่างว่าห้องไหนมันยากนะ ไล่กันง่ายๆอย่างงี้ฉันไม่ไปหรอก”
เขาบอกพลางก้มลงจูบย้ำๆ ที่ข้างแก้มเนียน แทฮยอนไม่ได้ตอบโต้แต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง
เขาสับสนไปหมดแล้ว เรื่องของเรามันควรจะจบตั้งแต่วันที่มินโฮให้เงินเขาแล้วไม่ใช่หรือไง?
ท่าทางของอีกคนแสดงมันออกมาชัดเจนในวันนั้นแล้วว่าเขามีค่าแค่เงินปึกเดียว
“ผมจะเดือดร้อนถ้ามีคนรู้”
แทฮยอนบอกพลางเสหลบจูบที่จะประทับลงบนหน้าผาก เขาแพ้จูบบริเวณนี้ที่สุด
มันอ่อนโยนจนเกินไป อ่อนโยนจนคิดไปเองว่ากำลังได้รับความรัก
“ฉันระวังตัวดี” ร่างหนาพูดเสียงแผ่ว
เขากระชับกอดแน่นขึ้นเพราะโหยหา
รู้สึกผิดเต็มอยู่ในอกไม่ใช่แค่เรื่องวันนั้นที่เขาแสดงท่าทางร้ายกาจออกไป และจากสิ่งที่เขารับรู้มามันมา
นอกจากที่แทฮยอนจะมีเขาเป็นคนแรกจากที่พิสูจน์ด้วยตัวเอง
อีกคนถูกประมูลแล้วจากเสี่ยควอน ไอ้เสี่ยที่เขารับเงินจากการขายความลับของบ่อนที่ทำงานอยู่ให้
นั่นหมายความว่าสิ่งที่อีกคนให้เขามันมากกว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
แต่สิ่งที่เขาหยิบยื่นให้กลับเป็นเพียงเศษเงินที่เขาคว้ามาให้
“คุณควรออกไป” แทฮยอนย้ำคำพูดเดิม
“คุณจะทำให้ผมเดือดร้อน”
มินโฮกอบกุมใบหน้าหวานให้เงยขึ้นสบตา
เขามองลึกไปในตาโศกแน่นอนว่าเขาเห็นความรู้สึกหลากหลายอัดแน่นอยู่ในนั้น จากที่ไม่เคยคิดจะสังเกตวันนี้เขาเห็นเต็มๆ
ตา ทั้งตัดพ้อ เสียใจ น้อยใจ
และมากที่สุดคงเป็นความรู้สึกที่เขาไม่คิดจะได้รับจากใคร
รัก...
เรารักกันตอนไหนเขาได้แต่ถามตัวเอง แต่ถ้าถามตอนนี้ตัวเขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากอีกคน
มันอาจจะเริ่มต้นจากความต่างของเรา แทฮยอนไร้เดียงสาถูกขังอยู่ในกรอบรอวันใช้งาน
ในขณะที่เขาตรากตรำความลำบากเผชิญโลก แต่เราต่างรู้ดีว่าข้างในลึกๆ เราเหมือนกันแค่ไหน
เรากำลังหาทางออกไปจากโลกใบเดิมของเรากันทั้งคู่
“เธอไม่ไปสูบบุหรี่”
“ผมไม่สบาย”
“เธอไม่ออกไปมองหน้าต่าง”
“...” แทฮยอนเงียบเขาไม่มีคำจะแก้ตัวอีก
ไม่มีอะไรจะพูด เขากำลังพยายามจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างที่สุด
“เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรอ..”
เสียงทุ้มต่ำบอกแผ่วเบาที่ข้างหู แนบใบหน้าของตัวเองไปกับใบหน้าของอีกคน
สูดดมกลิ่นกายที่แสนคิดถึง
“ผม..ผม..” แทฮยอนอึกอัก
ใจเขาพองฟูเหมือนมีคนอัดลม มันคับแน่นอยู่ในอก “ผมคิดว่าเราจบกันไปแล้ว”
แทฮยอนพรั่งพรูความในใจออกมาให้ได้ฟัง
เขาคิดว่าอีกคนคงไม่ต้องการเขาอีกแล้วไม่ได้เห็นค่าอะไรในความสัมพันธ์ของเรา
ร่างหนาผละออกเล็กน้อยจ้องมองใบหน้าอีกคนนิ่ง
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบบางอย่างออกมา
ถุงกระดาษเล็กถูกเทออกมาเป็นต่างหูห่วงเงินเรียบๆ อันหนึ่ง
“เงินที่มีมันซื้อแหวนแพงๆ ให้เธอได้แต่ฉันรู้ว่าเธอคงไม่ชอบใจ
อันนี้มันมาจากเงินของฉันจริงๆ ถึงแม้ว่ามันก็เป็นเงินสกปรกไม่แพ้กันก็เถอะ”
มินโฮพูดยาวกว่าทุกครั้ง
เพราะเขาอยากให้อีกคนเขาใจความหมายของมันโดยที่ไม่ต้องสารภาพ
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“เธอรู้ความหมายของมัน”
เขาบอกพลางแกะห่วงนั้นจดจ่อลงที่ใบหูขาว “เจ็บหน่อยนะ”
“อึก”
ร่างผอมไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะรับรู้ความหมายของมันได้อย่างเต็มใจ
เจ็บนิดหน่อยแต่แลกมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอมล้นอกที่ได้รับรู้บางอย่าง
ความรู้สึกเราตรงกัน...
ไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวที่คิดไปเอง
นิ้วสากปาดเลือดที่ผุดซึมมาจากการเจาะหู
เขาแลบลิ้นเลียใบหูขาวเพื่อซับเลือด กดจูบที่หูนั้นอย่างแสนรัก
มองคนที่กอดแล้วซุกตัวลงกับอกเขาอย่างพอใจ
เขาไม่ได้ยอมรับความรู้สึกของตัวเองตั้งแต่แรกที่รับรู้ถึงมันได้หรอก
แต่ยิ่งปิดบัง ยังเก็บไว้ ยิ่งสร้างกำแพง เขาเองก็ยิ่งอยากเปิดเผย
อยากทลายกำแพงนั้นให้สิ้นซาก ยิ่งอดทนอดกลั้นกับความรู้สึก ก็ยิ่งอยากได้ยิ่งโหยหา
เขาจะหนีไปพร้อมเงินก็ได้แต่เขากลับมารอทุกวันใต้แสงไฟสลัวของไฟริมทาง
ฝั่งตรงข้ามกับบานหน้าต่างที่เขามองเป็นประจำ
“คุณเอาเงินไปคืนเสี่ยแล้วหรือ?”
เขาถามทันทีที่เริ่มสังเกตเห็นแผลบนใบหน้าคมที่จางลงไปมาก
แต่ก็มีรอยใหม่ให้ได้เห็นเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“ไม่” เขาส่ายหน้า เขาไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นแต่แรกและเขาจะไม่มีวันทำ
แม้ว่าแผนของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“แล้วคุณจะอยู่ให้คนของเสี่ยมาตามทวง
ตามกระทืบอย่างนี้หรอ?” แทฮยอนไม่เข้าใจเลย
ไม่เข้าใจคนคนนี้เลยว่าจะอยู่กับเงินมากมายขนาดนั้นแต่ไม่ได้ใช้ไปทำไม
“ฉันจะหนี” ร่างหนาบอก นัยน์ตาของแทฮยอนสั่นไหว
“ฉันวางแผนไว้แต่แรก แต่มันก็เปลี่ยนไปเพราะเธอ”
“หมายความว่ายังไง?” ร่างผอมไม่เข้าใจ
ถ้าจะหนีก็หนีไปแล้วเขาไปเกี่ยวอะไร
“ฉันยังอยากมายืนมองเธอตรงนั้นทุกคืน
อยากเจอเธอ” นั่นคือความสัตย์จริงที่ตัวเขาเองยังเคยปฏิเสธ
เขาเก็บเงินนั้นไว้จนโดนจับได้ จนเสี่ยระแคะระคายก็เพราะยังคงเสพติดการมองเห็นอีกคนอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งเขาตัดสินใจเข้าหาชวนสูบบุหรี่แล้วพัฒนาความสัมพันธ์
ตอนนั้นคิดแค่สนุกสักพักแล้วจะไปแต่เขาเองก็ถลำลึกจนไม่อาจจะถอนตัว
“แลกกับที่คุณเจ็บตัวน่ะหรอ? บ้าไปแล้ว”
แทฮยอนส่ายหน้า เขาไม่อยากจะเชื่อเหตุผลแต่ก็ต้องยอมรับจากความจริงจังในสายตาอีกคน
“เธอยังอยากอยู่ที่นี่มั้ย?”
อยู่ดีดีเขาก็ถาม
“ผมไม่เคยอยากอยู่” คนตัวขาวตอบทันควัน
เขาไม่เคยอยากที่จะเติบโตอยู่ที่นี่แต่เลือกอะไรไม่ได้
ชีวิตบางคนไม่ได้มีทางเลือกทางออกมากมายนัก ถ้าไม่ใช่ที่นี่เขาคงตายอยู่ที่ข้างทางตั้งแต่วันที่แม่บังเกิดเกล้าเอาเขามาทิ้ง
“ไปกับฉัน หนีไปด้วยกัน”
ตาเรียวรีเบิกกว้าง เขาไม่เคยมีคำนี้อยู่ในหัวมาก่อน
ถึงแม้อยากจะมีอิสระเพียงใดแต่รู้ว่าถ้าออกไปเขาไม่ต่างอะไรจากคนจรจัด
ที่ยังอยู่ตอนนี้ก็เพื่อให้มีหลังคาคุ้มหัว
“คุณพูดว่าหนี คุณหนี ผมหนี..หรอ?”
“เราจะหนีไปด้วยกัน
เงินนั่นมากพอที่จะให้เราไปตั้งตัวในที่ไกลๆ แบบที่คนพวกนี้ไม่มีวันตามเราเจอ”
เขาวาดวางอนาคตไว้อย่างนั้น ตอนแรกมันไม่ได้มีแทฮยอนอยู่ด้วยหรอก
แต่ตอนนี้เขาขาดอีกคนไปไม่ได้แล้ว
เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยากออกไปใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา
ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวันๆ กับการตามล่าคน กระทืบทวงหนี้หรืออะไรเทือกนี้ไปตลอด
ที่ทำเพราะมันหาเงินง่ายและทำให้มีอำนาจ ซึ่งวันหนึ่งโอกาสมันมีมาให้เขาเสี่ยง
ไม่มีใครอยากเป็นคนโกงหรอก แต่วิธีเดียวที่จะทำให้ออกไปจากที่นี่ได้เร็วที่สุด
เริ่มต้นใหม่ได้ง่ายที่สุดก็คือโกงมา
เงินสกปรกที่ไอ้พวกบ่อนใต้ดินรีดไถพวกผีพนันมาได้มันก็เงินโกงเหมือนกัน
จะเป็นไรไปถ้าเขาไปโกงมาอีกทอดหนึ่ง
ก็นี่แหละวิธีสิ้นคิด...
ของคนสิ้นหวัง
และเขาต้องการไปหาความหวังใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า
ออกไปอยู่ในที่สว่างบ้างดีกว่าต้องจมดิ่งอยู่ในวังวนดำมืดนี่
“คุณจะทำยังไง คนของเสี่ยมีตั้งเยอะ”
แทฮยอนถามเสียงสั่น ในใจเขาก็สั่นมันร้องบอกว่าให้ตามคนคนนี้ไปทุกทีที่อีกคนจะไป
“วันมะรืนเพื่อนฉันจะมารับแล้วหนีไปพร้อมกับมัน”
มินโฮเล่าแผนการ
อันที่จริงเขาเตรียมการมาสักพักและเพื่อนคนนี้ก็ทำวิธีเดียวกันกับเขาจากบ่อนอีกเขตหนึ่ง
“มันมีบ้านอยู่ที่มกโพ ติดริมทะเล ฉันกะว่าจะไปตั้งตัวที่นั่น”
“บ้านริมทะเลหรอครับ?”
ไม่คิดไม่ฝันหรอกว่าจะได้ไป แค่ทะเลเขาก็ไม่เคยจะไปเหยียบแล้ว นี่จะหนีไปอยู่หรือ?
เป็นไปได้หรือ?
“คงลำบากสักนิดแต่เงินที่มีคงจะใช้สบายไปนานอยู่”
มินโฮพูดตามตรง นี่เป็นแผนคร่าวๆ ที่เขาคิดมาสักพักแล้ว
เพิ่มเติมคือตอนนี้เขามีอีกคนที่อยากให้ไปด้วยกัน
“ผม...ผม...” เขาสับสน
หลายอย่างยังตีกันวุ่นอยู่ในสมอง อยากไปกับอีกคนหรือเปล่าแน่นอนอยู่แล้วว่าอยาก
แต่พอคิดถึงผลที่จะตามมากับความน่ากลัวของอำนาจที่มองไม่เห็นเขาก็ยอมรับว่ากลัวอยู่มาก
“ไม่อยากไปหรือ?”
ร่างหนาถามเพราะเห็นอีกคนอ้ำอึ้ง
“ไม่ใช่...ผมแค่..กลัว”
หากแม่ใหญ่ล่วงรู้ เขาไม่รู้ว่าก่อนที่ได้ไปเขาจะได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
“วันมะรืนฉันจะมารอที่ฝั่งตรงข้าม เธอแค่ออกมาเจอกัน”
มินโฮบอกแผนทั้งหมด “ฉันจะรอจนกว่าเธอจะออกมา”
“เรา..จะ..เราจะไปจากที่นี่ได้จริงๆ..ใช่มั้ย?”
เขาใจไม่ดีแต่ยอมรับว่าคาดหวังเหลือเกินนี่เหมือนจุดมุ่งหมายสูงที่สุดแล้วในชีวิตเขา
อิสรภาพที่จะได้มา
ริบหรี่แค่ไหนมันก็สว่างเจิดจ้าในจินตนาการของเขาตั้งแต่ตอนนี้แล้ว “มันเสี่ยง..มาก”
“เราจะไปด้วยกัน” มินโฮจูบลงที่หน้าผากขาวยืนยันความมั่นใจ
มือเรียวสั่นน้อยๆจากความตื่นเต้นและกดดันผสมผสานไปกับความกลัวที่แฝงอยู่ลึกๆ
ร่างหนาปลอบประโลมคนที่ยังรู้สึกประหม่าและกดดันเป็นกอดหลวมๆ
โยกไปมาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยจะเป็น
เราไม่รู้หรอกว่าจะพากันไปหาแสงสว่าง
หรือกำลังพากันดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด
‘I don’t know where to go
On
this night
Oh
save me
Save
me from this dark’
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
----------------- [ Take me out ] -------------------
writer : @leensilence
#510330tracks
track, beating and them
Comments
Post a Comment