[ Take me out ] - END





[ Take me Out ]

- ตอนจบ -





          รักสวยงามในตัวของมันเอง
          แม้ว่ามันจะบิดเบี้ยวแค่ไหนก็ตาม
         
         
          ปึง!!! ปึง!!!!
          เสียงทุบประตูห้องดังลั่นให้ได้ยิน สองร่างที่นอนตระกองกอดกันมาทั้งคืนสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว แทฮยอนรวบเอาผ้าห่มคลุมกายในขณะที่มินโฮบิดกายอย่างเกียจคร้าน
          ร่างผอมลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนคว้าเอาเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ เมื่อคืนเราปรับความเข้าใจ ทำความรู้จักและจบลงที่มอบความรัก สุขสมอิ่มเอมจนลืมสิ้นทุกอย่าง ลืมไปว่าอยู่ที่ไหนและเสี่ยงเพียงใด
          “ใครมา?” มินโฮถามเสียงพร่า
          “ไม่รู้ คุณรีบใส่เสื้อผ้าก่อนนะ” แทฮยอนรวบเอาเสื้อของอีกคนส่งให้ ร่างหนารับมาสวมอย่างลวกๆ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเสียงจากภายนอกก็ดังมาให้ได้ยิน
         “กุญแจสำรองครับนาย”
         แทฮยอนเบิกตากว้างเพียงแค่ได้ยินสรรพนามเรียกขานแม่เล้าแสนโหด เขาไม่รู้ว่าหล่อนมาหาเขาถึงห้องยามเช้าเพราะอะไรแต่มันแปลกประหลาด

          หรือว่าหล่อนจะรู้!!!

          “ไปแอบก่อน คุณต้องไปแอบเดี๋ยวนี้” แทฮยอนกระซิบบอกเลิ่กลั่ก ผลักดันหลังอีกคนเข้าไปหลบในห้องน้ำเล็ก ถึงเราจะมีแผนหนีไปแต่ตอนนี้ถ้าแม่ใหญ่จับได้ ไม่เขาก็มินโฮต้องมีคนเจ็บตัวแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็ทั้งคู่
          ปัง!!!
          ประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของแทฮยอนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด เจ้าของที่นี่ก้าวเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่ แทฮยอนสั่นไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้
          “ฉันเคาะตั้งนานทำไมแกไม่เปิด” เสียงแหลมๆกดต่ำจนน่ากลัว แทฮยอนเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้
          “ผม..พึ่งตื่นครับ..” ร่างบางอึกอัก
          “งั้นหรอ” หล่อนสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ บีบคางเรียวจนใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ “กูไม่ได้โง่ ไปเอาตัวมันออกมา!!!” เธอสั่งลูกน้อง
          แทฮยอนเบิกตากว้างสองขาก้าวไปขวางลูกน้องร่างใหญ่จนโดนผลักล้มกระเด็น หญิงร่างอวบเดินมารั้งแขนเรียวให้ลุกขึ้นก่อนล็อกตัวไว้

          ความสุขอยู่กับเขาเพียงชั่วข้ามคืนอีกแล้ว
          มันถูกพรากไปในตอนเช้าตรู่เสมอ...

          คนที่กกกอดกันมาเมื่อคืนถูกลากออกมาหลังจากที่เขาได้ยินเสียงการสู้กันได้พักหนึ่งแต่มินโฮคนเดียวที่ยังมีแผลเก่าจะสู้อะไรกับลูกน้องร่างยักษ์สองคนที่ไม่ได้ออมแรงสักนิดได้
          ร่างผอมบางหวังจะเข้าไปช่วยแต่เขาจะไปช่วยอะไรได้ มินโฮถูกหิ้วปีกออกไปในขณะที่เขาถูกรั้งไว้ด้วยลูกน้องอีกคนของแม่ใหญ่
          “อย่า! อย่าทำอะไรเขา อย่า!” แทฮยอนร้องลั่น เขาคุกเข่าลงขอร้องเจ้าของชีวิต มองตามร่างคนรักที่เหมือนจะส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไร
          “กูไม่ทำอะไรมันหรอก แค่ต้องสั่งสอน” หล่อนว่า กระชากผมนิ่มอย่างแรงจนใบหน้าหวานแหงนเงยตามแรงนั้น “คนที่ผิดน่ะ มันมึงเต็มๆ กูสั่งแล้วสั่งอีก มึงนะมึง!
          “ฮึก แม่ใหญ่ ผม ฮึก ขอโทษ อย่าๆ อย่าทำอะไรเขา”เขากอดขาของหญิงวัยกลางคนเป็นการอ้อนวอน

          กลัว...
          กลัวไปหมดแล้ว...

          โชคชะตาของเขาเลวร้ายเสมอ

          ทั้งที่เหมือนจะเริ่มมีเรื่องดีเข้ามา ทั้งที่เหมือนอะไรๆ กำลังจะเปลี่ยนไป ราวกับนกน้อยที่กำลังโผบินหาชีวิตใหม่ทว่าสุดท้ายโดนเด็ดปีกจนไม่อาจบินได้อีก
          “กูไม่เอามันถึงตายหรอก แต่มึงนี่นะ กูอุตส่าห์ไว้ใจ” หล่อนสบถด่าไม่หยุด มือเหี่ยวย่นจิกกำเส้นผม กระชากจนหน้าหงาย อยากจะฟาดแรงๆ ลงที่ใบหน้าสวยไม่รักดีนี่สักครั้งแต่มันติดแค่ว่าอีกไม่กี่วันมันจะต้องขายออก ถึงมันจะไม่มีสิ่งที่ควรจะมีแต่มันก็ต้องขายออกแล้วตอนนี้ เงินก็รับเขามาแล้วตั้งครึ่ง “มึงนี่นะ เวรเอ้ย”
          “ผมขอโทษ ฮือออ ขอโทษ”
          “มึงบอกกูมา มึงได้กับมันมากี่ครั้งแล้ว? มึงบอกกูมา!” หล่อนคาดคั้น แทฮยอนสะอื้นจนตัวโยน ใจเขาห่วงที่สุดคือมินโฮ
           “ฮึก สอง.. สองครั้ง แค่สองครั้ง” ร่างผอมละล่ำละลั่กตอบ ความจริงที่เผยออกไปสร้างความขุ่นเคืองจนโดนฟาดอย่างแรงลงที่ใบหน้าไปหนึ่งที
          “กูสั่งมึงแล้วใช่มั้ย กูพึ่งจะพูดกับมึงไปหยกๆ แต่มึงก็ยังไปเอากับไอ้กุ๊ยนั่น! มึงนี่มัน!” หล่อนพูดอย่างหัวเสีย สุดท้ายก็พลั้งมือตบมันไป ยิ่งเห็นร่องรอยที่อยู่บนตัวมันตอนที่มันดิ้นรนขอโทษ ขออภัยก็ยิ่งบันดาลโทสะ
          แทฮยอนนิ่งเงียบ เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างช้าๆ เจ็บจนชาไปหมด เขาอยากออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ตอนนี้ อยากลุกขึ้นมาสู้กับผู้หญิงแก่ที่ถ้าเขาคิดจะสู้ย่อมสู้ไหว แต่ใจเขามันไม่สู้ เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อตัวเอง เขาถึงต้องมีใครอีกคน ใครที่คอยสอนเขา ชักจูงเขา แม้หนทางที่จะทำมันไม่ได้สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่เส้นทางนั้นมีอีกคนเดินไปด้วยกันเขาก็อยากจะไปทางนั้น
          แต่ตลกร้ายเส้นทางนั้นนอกจากจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาทั้งคู่ยังสร้างอุปสรรคไว้มากมายจนเหมือนตะปูแหลมคมที่โรยไว้สร้างความเจ็บปวดแทน เราทั้งคู่จะผ่านมันไปได้ยังไง
          “แค่สองครั้ง แค่สองครั้ง” หล่อนพูดย้ำคำเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์ “มึงเตรียมตัวให้ดี ยังไงมึงก็ต้องขายให้เสี่ย”
          หล่อนพูดเสียงแข็ง รับเงินมาแล้ว แค่สองครั้งมันคงยังไม่สามารถจับพิรุธได้หรอก
          “แต่..ผม..” แทฮยอนประท้วงเสียงเครือ “ถ้าเสี่ยรู้ ถ้าเสี่ยรู้ ผม..ผมจะทำยัง..ไง”
          “หน้าที่ของมึงก็คือทำยังไงก็ได้ให้เสี่ยมันไม่รู้ มึงต้องทำ งัดมารยาของมึงมาใช้ให้หมด!” หล่อนสั่ง
          “แม่ใหญ่... ผม... ฮึก”
          “กูบอกว่าทำก็ต้องทำ มึงอย่าให้กูโกรธมึงมากกว่านี้ หรือว่ามึงอยากจะโดนทีเดียวเป็นกลุ่มให้คุ้มกับเงินที่กูจะต้องเสีย” เธอคาดโทษ พร้อมหยิบยื่นข้อเสนอแสนเลวร้ายให้จนแทฮยอนรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
          “ฮึก” เขากลั้นสะอื้นจนตัวโยน ร่างทั้งร่างโดนขาของเจ้าของที่นี่ยันจนห่างตัวหล่อน แทฮยอนล้มพับ ซุกหน้าลงกับพื้น
          “อยู่ในนี้อย่าออกไปไหน พรุ่งนี้มึงเตรียมรับแขกได้เลย” หล่อนสั่งก่อนเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ได้หันกลับมามอง แทฮยอนได้ยินเสียงล็อคกุญแจจากด้านนอก เขารู้ตัวได้ทันที อิสระที่เคยลักลอบแอบใช้ไป ถูกริบคืนไปจนหมดแล้ว
          ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ เราพึ่งจะมีความสุขได้เพียงชั่วคืน วันรุ่งขึ้นแสงสว่างกลับพรากเอาความสุขคืนจากเราไปอีก แล้วอย่างนี้เขาจะโหยหาแสงสว่างไปทำไม ในเมื่อทุกอย่างทุกความสุขสมเลือนสลายหายไปท่ามกลางแสงตะวันที่สาดส่องเสมอ
          ความสุขของเราเหมือนควันบุหรี่ที่ล่องลอยในอากาศมันมองเห็นชัดที่สุดตอนอยู่ใต้แสงไฟเพียงสลัวๆ และแทบสลายไปในทันทีหากแสงสว่างเจิดจ้า แสงสว่างกลืนควันเทาจนไร้รูปร่างหลงเหลือเพียงกลิ่นให้ได้สัมผัส ควันล่องลอยขึ้นไปไม่ถึงไหนสลายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว
          ความรักของเราเจิดจ้าตอนที่เราทั้งคู่ต่างมีความมืดมิดในจิตใจ แสงสว่างอะไรก็คงไม่อาจจะส่องถึง เราถึงไม่ควรพยายามไขว้คว้าสิ่งที่เราไม่ควรมีแต่แรก
         
          เขาเกลียดเช้าวันใหม่ที่ไม่เคยเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยสำหรับเขา
          เช้าวันใหม่ที่พรากทุกอย่างเอาไปจากเขา
          เช้าที่เป็นจุดจบของทุกอย่าง..
         
          ตั้งแต่เจอกับมินโฮ
          เขาคิดถึงกลางคืนมากกว่า
          คิดถึงความมืดมิดที่ทำให้เรามองเห็นกันชัดเจนกว่าตอนไหนๆ





          แทฮยอนไม่อยากลืมตาตื่นเหมือนกับเมื่อคืนที่ข่มตาเท่าไหร่มันก็ไม่หลับ เมื่อคืนเขาภาวนาว่าให้ทุกอย่างเป็นฝันเมื่อตื่นขึ้นมา เขาไม่อยากรับรู้ความจริง ไม่อยากยอมรับว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มินโฮจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาห่วงจนเหมือนว่าใจจะขาด ใจเขาตอนนี้ไม่ต่างจากเส้นด้ายจะดึงให้ขาดมันง่ายดายนิดเดียว
          หากหลับไปได้ยาวๆ เขาก็อยากจะหลับไป เขาอยากลืมเรื่องราวทุกอย่าง ปล่อยผ่านสถานการณ์แสนกดดันที่กำลังจะมาถึง เขาเคยคิดว่าจะผ่านมันไปอย่างไร้ความรู้สึก ทว่าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวใจเขามีความรู้สึกให้ใครคนหนึ่ง การจะหลงลืมความรู้สึกที่เคยมีไม่ง่ายสักนิด ยิ่งรับรู้ว่าเรารู้สึกตรงกัน ยิ่งพยายามมองข้ามก็ยิ่งโหยหาเป็นเท่าตัว
          เขาข่มตาหลับได้ชั่วคราวแล้วก็ตื่นขึ้นมาเพื่อระลึกได้ว่าโดนพรากจากกันอย่างไร อีกฝ่ายเจ็บตัวแค่ไหนตอนที่เขาได้เห็น อยากทำแผลให้ อยากกอด อยากจูบ อยากได้รับการปลอบประโลมใจจากคนที่แข็งแกร่งกว่าทั้งทางกายและใจ
         
          เขาห่วงมินโฮจนสุดใจ

          ไม่รู้ว่าแผนการของเราจะดำเนินไปอย่างไรในเมื่อคืนนี้เขาต้องทำสิ่งนั้น และอีกฝ่ายตอนนี้เป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจรู้ จะมีคนไปช่วยหรือเปล่า จะได้ทำแผลหรือยัง แทฮยอนว้าวุ่นใจ ขมขื่นในความรู้สึก ถ้ากระโดดออกไปทางหน้าต่างได้ เขาจะทำ...
          อาหารถูกส่งเข้ามาให้ครบสามมื้อแต่ไม่มีมื้อไหนเลยที่เขากินจนหมด สมเพศตัวเองเป็นที่สุดตอนนี้เขาคือสัตว์เลี้ยงโดยสมบูรณ์แบบ มีคนคอยป้อนอาหาร เช็คตามเวลา ดูสภาพว่าเขาเป็นยังไง บอกเลยว่าภายนอกไม่ได้เจ็บช้ำ มีก็แต่รอยแดงๆ ที่ข้างแก้มจากการโดนตบเมื่อวานที่ระบมให้รู้สึก นอกนั้นแทฮยอนบอกได้เลยว่าเขาชินชา เขารู้สึกเจ็บจนไม่อยากรู้สึก ทรมานจนแสนจะทน รวดร้าวจนแทบแตกสลาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงประดังเข้ามาอีกในคืนนี้

          คืนที่โชคชะตาแสนโหดร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา
          และเขารับไว้อย่างจำนน

          สองแขนคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นมากอด มันยังมีกลิ่นของอีกคน กลิ่นที่ทำให้สงบใจ ไออุ่นที่ยังเจือจางทิ้งสัมผัสเอาไว้ เขากอดมันไว้แน่นก่อนซุกหน้าลงไปถูไถ น้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบมันไหลออกมาทั้งที่เจ้าของก็ยังไม่รู้ เปียกแฉะผ้าห่มผืนนั้น ในขณะที่ความคิดถึง ห่วงหา และห่วงใยแทรกซึมเข้าในจิตใจจนเกินจะต้าน
          เขาหนาวไปทั้งตัวโหยหาเพียงอ้อมกอดของใครบางคนที่เหมือนภูเขาตระหง่านให้ความชุ่มชื้นกับผืนป่า มันอาจจะไม่ได้อุ่นไปกว่าการกอดตัวเองแต่การได้สัมผัสลมหายใจ สัมผัสความรู้สึกของกันและกันสร้างความอิ่มเอมใจได้

          แต่หลังจากวันนี้คงไม่มีอีกแล้ว
         
          ถึงจะโหยหาเท่าไรแต่ในใจกลับคิดได้ว่าควรปล่อยให้อีกคนได้หนีไป เพราะคืนนี้เขาคงออกไปไม่ได้อีกแล้ว และกรงขังนี้จะแน่นหนายิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาก้าวผ่านจุดนั้นไป
          การเริ่มต้นใหม่ของมินโฮเขาไม่อยากเป็นคนทำลายมัน หากมีโอกาสได้บอกอะไรกับคนคนนั้นอีกครั้งเขาจะบอกว่าให้หนีไปให้ไกล ใช้ชีวิตตามต้องการและคิดถึงเขาบ้างยามที่ไม่มีอะไรให้คิดถึง นึกถึงเขาได้เป็นครั้งเป็นคราวก็พอ
          ทำตามแผนเดิมของอีกคนที่ไม่มีเขารวมอยู่ในนั้น หากไม่รู้จักเขาป่านนี้ฝ่ายนั้นคงมีความสุขอยู่ที่มกโพแล้ว

          ทะเลกับฟ้าสีคราม
          ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะได้เห็นมันพร้อมๆ กับอีกคน

          ร่างผอมพาตัวเองมายืนตรงหน้าต่าง มันเป็นที่เดียวที่ตอนนี้เราอาจจะได้มาเห็นกัน แต่แน่นอนว่าไม่อาจเป็นไปได้ มินโฮตอนนี้คงไม่มีแรงมากพอมายืนมองเขา หรือเอาตัวเองมาเสี่ยงกับคนของบ่อนตรงข้าม เราทั้งคู่ต่างก็มีชนักติดหลัง จะทำอะไรมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราสองคนวาดหวังไว้
          บางทีถ้าเรายังแค่มองกันจากตรงนี้เท่านั้นมันคงจะดีกว่า เราอาจจะได้เห็นกันนานออกไปอีกหรือต่างคนต่างก็มีความสุขเป็นของตัวเองโดยที่เราไม่ได้เอามันมาผูกไว้ด้วยกัน
          แต่ความสุขที่มีกันและกันมันดีจนถ้าให้เลือกก็คงเลือกที่จะให้มันดำเนินไปอย่างนี้อยู่ดี
         
          ตอนนี้ก็แค่ต้องรับผลของมัน...

          แล้วเวลาที่เขาไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง เขาถูกพามาอีกห้องหนึ่งที่ชั้นสอง กว้างกว่าที่เขาอยู่และสะอาดกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันถูกเอาไว้ตอนรับลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยอมจ่ายเพื่อเลือกสินค้าที่มีคุณภาพตามที่อยากได้
          เขาถูกยัดให้มานั่งคอยบนเตียงกว้างพร้อมกับกำชับว่าต้องดูแลแขกให้ดีที่สุด และอย่าให้ฝ่ายนั้นจับพิรุธได้ว่าเขาไม่มีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการอยู่แล้ว
          ใบหน้าขาวซีดถูกปรุงแต่งเล็กน้อยให้พอน่ามอง กลบร่องรอยการถูกทำร้ายจากเมื่อวานและร่องรอยตามเนื้อตัวไม่ให้เป็นที่สังเกต เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้องทั้งกลัวทั้งขยะแขยง เขาเหมือนรอเวลาเชือด เหมือนสัตว์ที่ถูกขุนจนได้ที่แล้วฆ่าเอาแต่เนื้อ ในขณะที่เขาจะถูกฆ่าแต่หลงเหลือลมหายใจแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดใดอีก
          ร่างผอมบางนั่งรออย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่อยากคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ จิตใจเขานึกถึงแต่ใครอีกคนที่ไม่รู้ป่านนี้จะอยู่ที่ไหน ท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว เขาได้ยินเสียงฟ้าร้อง ฝนคงกำลังตั้งเค้า หน้าต่างในห้องนี้บานใหญ่กว่าที่ห้องเขา มันดึงดูดให้ออกไปยืนมองอีกครั้งอย่างมีหวัง
          ข้างนอกมืดมิดฉาบด้วยแสงสลัวของไฟริมทางช่วยให้มองเห็นภายนอกได้ชัดขึ้น แต่การมองจากชั้นสองไม่ได้ทำให้เห็นมุมเดิมๆ ที่เคยเห็นอีกต่อไป เขายืนจนชิดหน้าต่าง มองไปทั่วบริเวณอย่างมีหวัง แค่อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าอีกคนยังสบายดี
          เขากวาดสายตาไปทั่วจนเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่คุ้นเคย คนของบ่อนซึ่งเคยเป็นลูกน้องของมินโฮ ยืนล้อมใครบางคนไว้อย่างเคย ทำงานอย่างที่เคยทำ เขาไม่ได้คาดหวังให้มินโฮอยู่ในกลุ่มนั้นเพราะรู้ว่าไม่มีทางจะเป็นได้อีก การอยู่ในกลุ่มเป็นไปไม่ได้ แต่การถูกซ้อมปางใต้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกนั้นเป็นไปได้
         
          เขาสั่นไปทั้งตัว ภาพวันนั้นย้อนกลับเข้ามาในสมอง
          มันรุนแรงเหมือนในคืนฝนตกคืนนั้น

          “มินโฮ คุณ ฮึก คุณณณณ หยุดนะ อย่าทำเขา!!! อย่าทำ” แทฮยอนตะโกนร้องบอกเหมือนขาดสติ ต่อให้ตะโกนดังแค่ไหนพวกนั้นก็ไม่มีทางได้ยิน ไม่มีทางหยุด ใจเขาเหมือนจะขาดตอนที่สังเกตเห็นเลือดที่กลบริมฝีปากหยัก
          สองขาเขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาอยากจะวิ่งออกไปจากห้องนี้แล้วตรงปรี่ไปช่วยคนที่เขารักแต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้พอๆ กับการตะโกนร้องขอความเมตตาให้อีกคน
          “จะไปไหนหรอ?” ร่างผอมชะงักเฮือกเพราะทันทีที่อยู่หน้าประตู คนจากข้างนอกก็เปิดเข้ามา ผู้ชายอายุราวสามสิบกลางๆ ยืนจ้องเขาอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสีหน้าพึงพอใจ
          “ผม ผมอยากออกไป” แทฮยอนพูดเสียงสั่น เขาถูกเดินต้อนให้เข้าไปในห้องตามเดิม จนชนกับเตียงนอนและล้มนั่งลงไป คนที่พึ่งเข้ามาทรุดนั่งลงข้างๆ มือใหญ่ทัดผมยุ่งเหยิงไว้ที่ใบหู แทฮยอนเหมือนโดนสั่งด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
          “ออกไปไหนล่ะ?” เขายังถามด้วยท่าทีสบายๆ
          “ผมอยากออกไป ผม ผม” แทฮยอนพูดซ้ำไปซ้ำมา เขาหันหน้าหนีมือใหญ่ที่กำลังจะทาบลงบนแก้ม ตัวเขาสั่น ปากเขาก็สั่น น้ำตากำลังจะไหลออกมาเพราะความอัดอั้นจากข้างใน ทั้งกลัว ทั้งรังเกียจ ทั้งห่วงมินโฮ ทั้งอยากจะสู้แต่ทำไม่ได้ อยากออกไปหามินโฮก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน ใจเขาเหมือนกำลังเต้นช้าลง ช้าลง จนแทบจะหายใจต่อไปไม่ได้
          “เธอได้ออกไปแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” ท่าทางลุ่มลึกกับคำพูดเนิบนาบยิ่งทำให้ดูน่ากลัว เขาอยากวิ่งหนีออกไปแต่เมื่อถูกตรึงไว้ด้วยสายตานั้น

          มินโฮอย่าเป็นอะไรนะ
          รอเขา...
          เราจะหนีไปด้วยกัน...
         
          เราจะหนี….


          แทฮยอนถูกวางร่างราบไปกับพื้นเตียง ดวงตาโศกแดงก่ำเพราะน้ำตา คนคนนั้นบรรจงจูบซับให้แต่มันน่าขยะแขยงเสียจนทำตัวไม่ถูก เขาถูกลูบไล้ถึงจะแผ่วเบาแต่เขาอยากจะอ้วกออกมาเสียตรงนี้ ใบหน้าคมสมอายุคลอเคลียไปทั่วใบหน้าเขา สองมือฟอนเฟ้นเนื้อกายเขาจนระบม ทุกครั้งที่หลับตาหนีเขาเห็นภาพมินโฮกำลังถูกซ้อมจนต้องลืมตามาเผชิญความจริงว่าใครก็ไม่รู้กำลังเล้าโลมตัวเขา จับต้องเขาได้อย่างสะดวกสบาย
          เสียงฟ้าครืดคราดที่ด้านนอกยิ่งตอกย้ำหัวใจที่แตกสลาย เม็ดฝนที่เทลงมายังไม่เท่าหยาดน้ำตาที่เขาหลั่งริน ทั้งเสียใจทั้งเจ็บใจ ทั้งสมเพศและรังเกียจตัวเอง
         
          เขาอยากให้มีใครยื่นมือมาช่วยเขาจากโชคชะตาแสนอัปลักษณ์
          ใครคนนั้นที่ยื่นร่มมาให้
          ใครที่สอนเขาสูบบุหรี่ สอนขับรถ
          สอนให้รัก...

          สอนให้กล้าที่จะเป็นอิสระ กล้าจะเสี่ยงเพื่อตัวเอง

          ใครคนนั้นที่เขาห่วงจนสุดหัวใจ...


         เปรี้ยง!!!! พรึ่บ!
          “อะไรกันวะ” เสียงคนบนร่างเขาสบถอย่างหัวเสีย เสียงคำรามจากฟากฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกับความมืดที่ฉาบไปทั่วบริเวณ มืดดำเหมือนใจเขา มืดจนเขาหาประโยชน์จากมันได้ “โอ้ย!!!
          สุดแรงที่เขามีส่งไปกลางลำตัวของอีกคนผ่านเข่าของเขาจนฝ่ายนั้นทรุดนอนหงายลงกับเตียง ร่างผอมพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะดวงตามองไม่เห็นอะไร เขาสะบัดมือหนีการเกาะกุมกระชากรั้งจากคนที่ถูกประทุษร้าย แรงเขาตอนนี้มีมากกว่าคนที่ถูกทำร้ายจนตัวงอ
          เขาวิ่งออกจากห้องอย่างง่ายดายต้องขอบคุณความมืดที่เป็นใจ ทุกคนกำลังวุ่นวายกับความมืดมิดที่ครอบงำในขณะที่เขาขอบใจมันอย่างสุดซึ้ง
          ทั้งถนนมืดเปลี่ยวเพราะเหมือนไฟทั้งซอยนี้จะดับจากการที่หม้อแปลงระเบิดรวมทั้งไฟริมทาง สายฝนโปรยปรายเปียกร่างไม่ได้ทำให้แทฮยอนเดินช้าลง เขามองหาร่างที่เฝ้าห่วงหาตลอดถนน แม้จะมืดแค่ไหนเขาก็ยังมองหา

          บางทีความมืดก็ทำให้เราเห็นบางอย่างชัดเจนขึ้น...
          ยิ่งมืดเราก็จะยิ่งเห็นคุณค่าของแสงสว่าง

          บางทีความมืดอาจเสียสละตัวเองให้ไม่น่าดู
          เพื่อให้แสงสว่างจืดจางได้มีคุณค่า

          “แท..ฮ..ยอน” แทฮยอนชะงัก ทั้งที่เสียงแผ่วเหลือเกินจนแทบถูกกลืนไปในเสียงฝนทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาน้ำตาพรั่งพรู
          ร่างผอมตรงรี่เข้าไปในตรอกแคบซึ่งมีหนึ่งร่างนั่งกองอยู่กับพื้นกุมหน้าท้องราวกับเจ็บสาหัส ใบหน้าของอีกคนซีดเซียวราวกับไร้สีเลือด
          “คุณ... ผมมาแล้ว ผมมา” แทฮยอนทรุดลงนั่งตรงหน้าอีกฝ่าย โถมตัวเข้าหาหวังกอดอีกคนให้สมใจทว่าปฏิกิริยาตอบรับกลับเป็นสีหน้าเหยเกแสดงออกถึงความเจ็บปวด
          “ฉันรอ รอเธออยู่..” เขาบอก ยกยิ้มทั้งที่ใบหน้าแสนอิดโรย เขาออกมารออีกฝ่ายอย่างที่ให้สัญญาไว้ ออกมารอทั้งที่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ออกมาหาเพียงเพื่อหวังให้คนรักที่ถูกขังไว้ออกมาแล้วเขาจะพากันหนีไป
          “เลือด เลือดคุณ!” แทฮยอนร้องบอกเสียงดังตอนที่เขาเห็นคราบเลือดนองอยู่ที่พื้นเจือจางไปกับน้ำฝน
          “นิดหน่อย ช่างมัน” คนคนนั้นบอกในขณะที่แทฮยอนกำลังมองหาต้นเหตุของเลือดที่เปรอะไปทั้งเสื้อ “เราไปกันเถอะ”
          “ฮึก.. คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย คุณ..” ทั้งที่ฝ่ายนั้นเป็นคนเอ่ยชวนให้เดินไปด้วยกัน แต่กลับลุกขึ้นก่อนไม่ไหว จนแทฮยอนต้องเป็นฝ่ายช่วยอีกคนให้ลุกตามกัน
          เพราะมืดมากเขาจึงไม่เห็นว่าอีกคนบาดเจ็บเท่าไหร่แต่เท่าที่มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายบวมช้ำอยู่หลายจุด ที่หางคิ้วยังเลือดซึม แต่ที่ดูจะหนักหนาก็คงเป็นลำตัวที่คราวนี้อีกคนบีบไว้ไม่ปล่อย เขารั้งแขนใหญ่ข้างหนึ่งพาดบ่าแล้วจะพากันเดินออกจากซอกตรอกเล็กนี้
          ฟ้ายังมืดมิดจนมองหนทางข้างหน้าได้ไม่กระจ่าง แต่เพราะเป็นทางที่คุ้นเคยเขาจึงเดินไปได้อย่างไม่ยากนัก ถึงแม้จะมืดแต่ก็ยังต้องคอยระวัง เขากลัวคนที่ซ่องจะตามมาเจออีก เขาไม่ได้ห่วงตัวเองหรอกนะ แต่ที่ห่วงคืออีกคนต่างหาก อีกฝ่ายจะเจ็บไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
          แทฮยอนรับรู้ได้ถึงแรงหอบหนักจากอีกคน ลมหายใจอีกฝ่ายร้อนผ่าวเข้าออกเป็นจังหวะเชื่องช้า น้ำฝนเกาะพรมอยู่ทั่วตัว เราทั้งคู่เปียกปอนเดินร่อนเร่ราวกับคนไร้บ้านไร้หนทางไป
          “เพื่อนฉันจอดรถรออยู่อีกฝั่ง...” ร่างใหญ่พูดเสียงแผ่วจนเขาแทบจำใจความไม่ได้ ฟ้าฝ่าเปรี้ยงอย่างแรงจนเขาสะดุ้ง แทฮยอนกลัวไปหมดแล้ว กลัวทั้งธรรมชาติ กลัวทั้งคนที่อาจจะตามมา ไม่มีอะไรเป็นใจสำหรับเราเลยในคืนนี้
         
          แค่เพราะเป็นเราหรอ?
          มันถึงยากเย็นถึงเพียงนี้

          ความมืดมิดไม่ใช่อุปสรรคของเรา
          แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เราทั้งคู่ไขว้คว้าความสุขของเราไม่ได้เสียที

          “คุณไหวมั้ย?” เขาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้าวเท้าเชื่องช้า สั้นลงจนเราไปไม่ถึงจุดหมายเสียที
          “อืม...” มินโฮตอบรับในลำคอเขาพยายามเร่งฝีเท้าแล้วแต่มันไปได้แค่นี้
          แทฮยอนพยายามพาร่างที่ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงทุกทีเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดพักอีกนิดเดียวก็จะถึงถนนแล้ว แค่ข้ามฝั่งไปความหวังของเราก็จะเป็นจริง
          แต่อย่างที่บอกไม่มีอะไรเป็นใจกับเราแม้แต่น้อย เขาได้ยินเสียงคนวิ่งมาพอหันกลับไปมองเขาเห็นเงาเลือนรางที่จำได้ว่าเป็นคนของแม่ใหญ่ พวกนั้นกำลังวิ่งเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ขอเถอะให้ความมืดสายฝนช่วยบดบังตัวเขาจากพวกสัตว์ร้ายพวกนั้น
          “มีคนตามเรามาแล้ว เราต้องรีบ”
          “ไม่..ไหว” เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดแสดงความอ่อนแอของอีกคน สีหน้าฝ่ายนั้นเหมือนจะไม่สู้ดี ทั้งที่ลมหายใจร้อนผ่าวแต่มือของฝ่ายนั้นเย็นเฉียบจนเหมือนน้ำแข็ง
          “ทน ฮึก ได้โปรด อีกแค่นิดเดียว อีกนิดเดียว” แทฮยอนขอร้องทั้งน้ำตา เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้ว โชคชะตาร้ายกาจกลั่นแกล้งกันเสมอ
         
          ยิ่งหนียิ่งเหมือนเจอทางตัน!

         เอี๊ยดดดดดดด!
          แทฮยอนชะงักสุดตัว ตกใจจนล้มลงไปกองกับพื้นกันทั้งคู่ ข้างหลังก็มีคนไล่ตามข้างหน้าก็ยังมีรถจากไปไม่รู้พุ่งตรงเข้ามาเหมือนพร้อมจะบี้ร่างเราทั้งคู่
          แสงไฟสูงหน้ารถสาดเข้าตาผู้ที่ไล่ล่าเขามาจนคนพวกนั้นยืนยกมือขึ้นบังสายตา ในขณะที่เขากับมินโฮยังไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้น
         
          มันจบแล้วสินะ
          ความหวังของเรา

         “ขึ้นรถ!!!!! แต่เหมือนสวรรค์ยังเมตตา จากเรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี ที่แท้รถที่คล้ายจะบี้ชีวิตเรากลับเป็นรถคันที่มาช่วยชีวิตเรา
          ทั้งเขาและมินโฮลนลานลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นมินโฮก็ยังเชื่องช้าอยู่ดี แทฮยอนอดห่วงไม่ได้แม้สักเสี้ยววินาทีเดียว ทันทีที่เราขึ้นนั่งในรถ ยานพาหนะคันเก่าก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว แทฮยอนมองเห็นลูกน้องของแม่ใหญ่วิ่งตามสุดกำลังจนตามไม่ไหว

          ขอบคุณค่ำคืนมืดมิดที่อีกไม่นานคงมอบแสงสว่างให้เรา

          “หึ มึงมาจนได้..” มินโฮพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบเมื่อรถขับพ้นปากซอย เหมือนฝ่ายนั้นรวบรวมเรี่ยวแรงอยู่นานในการเปล่งเสียงออกมา
          “มึงมันช้า เลยเวลานัดไปเป็นชั่วโมง กูจะชิ่งเงินมึงหนีแล้ว” คนขับรถอยู่มองเราผ่านกระจกมองหลังก่อนพูดทีเล่นทีจริง แทฮยอนไม่ได้สังเกตอะไรฝ่ายนั้นมาก เขาเห็นเพียงแค่กระเป๋าใส่เงินวางกองอยู่ที่เบาะหน้าสองใบ ใบหนึ่งคุ้นตาเพราะเจอที่ห้องมินโฮ ส่วนอีกใบน่าจะเป็นของผู้ชายคนนี้
          “หึ..” แทฮยอนได้ยินเพียงเสียงหัวเราะแผ่วในลำคอพร้อมกับแรงหนักๆ ที่กระแทกลงบนไหล่ มินโฮเอนซบลงมา มือข้างหนึ่งของเรายังประสานกันแน่นมันเหมือนกับว่าเราจะไม่มีวันปล่อยมืออีกแล้ว
          แทฮยอนหันไปหาอีกคน มืออีกข้างยกขึ้นลูบใบหน้าชื้นน้ำฝน ใบหน้าคมเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งยังดูอิดโรยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสื้อผ้าอีกฝ่ายชุ่มไปน้ำปนเลือด กลิ่นคาวเลือดเตะจมูกจนเขาต้องมองหาต้นตอของมัน
          “คุณ! คุณโดนแทงหรอ คุณ ฮึก..”
          “ว่าไงนะ!!!” นอกจากเสียงของแทฮยอนอีกเสียงหนึ่งจากเบาะหน้าก็แทรกเข้ามา
          “กูโอเค... มึงขับต่อไปเหอะ” มินโฮตอบคนข้างหน้า เขาหลับตาแล้วผ่อนลมหลายใจให้ผ่อนคลายที่สุด “กูอยากไปถึงบ้านซักที”
          “คุณ ไม่ได้นะ... ฮึก แผล แผลคุณ” แทฮยอนละล่ำละลั่ก แผลขนาดนี้จะปล่อยไว้ได้อย่างไร ยิ่งพอถึงถนนซึ่งมีไฟริมทางส่องเข้ามาให้ได้เห็นแล้วนั้น เขายิ่งใจสั่นกลัว ใบหน้าอีกคนซีดเซียวจนเกือบไร้สีเลือก
          “ไม่เป็นไร...” ฝ่ายนั้นพูดแผ่ว
          “เรามีเงิน.. เรามี เราแวะโรงพยาบาลได้มั้ย นะ... ได้โปรด” แทฮยอนกุมมืออีกคนแน่น เขาอ้อนวอน ใจเขาจะขาดแล้ว มันจุกหน่วงเสียยิ่งกว่าตอนที่จำใจปล่อยตัวให้เสี่ยนั่นกระทำเสียอีก
          “ไม่ได้” คนข้างหน้าบอกเสียงแผ่ว มินโฮส่งยิ้มบางให้เขาทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ใจเขาแทบจะขาดอยู่แล้ว
          “ทำไม ฮึก เขาเจ็บ เพื่อนคุณ” แทฮยอนตัดพ้อ
          “ดูสภาพพวกเรา ไปตอนนี้เขาจะคิดกันว่าไง พยาบาลได้เรียกตำรวจแห่มาจับเราแน่” เพื่อนของมินโฮบอก ทำให้เขาได้คิด สภาพมินโฮย่ำแย่ ในขณะที่เขาก็ดูน่ารังเกียจ เสื้อเชิ้ตขาวเปียกลู่กับกางเกงขาสั้น ดูก็รู้ว่าไม่น่าจะมีเงินไปจ่ายค่ารักษารวมถึงต้นเหตุของบาดแผลของคนเจ็บคงต้องถูกซักไซ้แน่ แต่จะให้ทำอย่างไร? มินโฮเจ็บหนักขนาดนี้
          “ไม่เป็นไร...” คนเจ็บยังยืนยันคำเดิม “ไว้พ้นคืนนี้ไปก่อน...”
          “ฮึก คุณจะไม่ไหว ฮึก ฮือ...” แทฮยอนพูดเสียงเครือเคล้าหยาดน้ำตา เขามองเลือดที่ยังซึมออกจากแผลอีกคน มันอาบร่องนิ้วยาวที่กดแผลไว้
          ร่างหนายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาคนรัก มันแผ่วเบาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เขามองหน้าคนรักทั้งที่มันพร่าเลือนเต็มที่ เสแสร้งแสดงท่าทีเหมือนปกติเสียเต็มประดาทั้งที่รู้ตัวเองดีกว่าใคร แต่เขาก็ไม่อยากทำให้เพื่อนที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือต้องเดือดร้อน

          เราต่างรู้ว่าเรามีอะไรที่แอบซ่อนไว้

          “ได้โปรดแวะโรงพยาบาลที ได้โปรด” แทฮยอนเขยิบไปกึ่งกลางระหว่างเบาะ เขาเอื้อมแขนเกาะกุมคนที่ขับรถอย่างอ้อนวอน ฝ่ายนั้นเหลือบตามองน้อยๆก่อนจอดที่ริมทาง
          ฝ่ายนั้นหันมองเบาะหลังจ้องมินโฮเหมือนหาคำตอบบางอย่างที่รู้กันสองคน “มึงไม่ได้บอก” มินโฮส่ายหน้า
          แทฮยอนไม่เข้าใจอะไรหรอกสิ่งที่เขาเข้าใจที่สุดตอนนี้คือเขาไม่อยากให้มินโฮต้องทนกับพิษบาดแผลอีกต่อไป
          “มึงบอกเองหรือจะให้กูบอก” เพื่อนของมินโฮถามออกมาอีกครั้ง
          “อะไร? ฮึก อะไรกัน?” ร่างผอมถามทั้งน้ำตา แค่เขาคนเดียวหรือที่กำลังร้อนใจกับหนึ่งชีวิตของใครคนหนึ่งที่แม้แต่เจ้าตัวกลับดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งที่ทนเจ็บเจียนตาย
          “มึงขับรถ..ไป” คนเจ็บสั่ง “ถึงให้เร็วที่สุด กูอยากไปถึงให้เร็วที่สุด”
          “คุณเป็นอะไร? บอกมา ฮึก ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล ทำไม” แทฮยอนอยากทุบฝ่ายนั้นแรงๆคั้นเอาคำตอบมาแต่แค่นี้อีกฝ่ายก็คงช้ำเกินจะพอแล้ว เขาทาบมือลงกับมือที่กดแผล ออกแรงช่วยกดหวังบรรเทาเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด
          “ที่นั่นสวย อยากให้เธอได้เห็นตอนพระอาทิตย์ขึ้น” เขาตอบไม่ตรงคำถาม เพื่อนของตนออกรถอีกครั้ง รวดเร็วตามคำขอ
          “คุณตอบสิ อะไร ฮึก ทำไมไม่ไปหาหมอ” เขาย้ำถาม ร้องไห้ปานจะขาดใจ
          “ไปไม่ได้...” ร่างหนาตอบเสียงเบา
          “ฮึก ทำไม ทำไม” ใจเขาเหมือนถูกจับแยก มันปวดแปลบเหมือนโดนแทงเองที่ตรงนั้น
          “ฉันมีหมายจับ ฉันไม่ได้หนีแค่เสี่ยนั่น ก่อนจะมาอยู่กับเสี่ย ฉันหนีตำรวจ” แทฮยอนเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นปิดปาก สมองตื้อจนได้ยินเสียงลมที่อยู่ในหู เขาคิดอะไรไม่ออก ค้นหาคำพูดตอบรับใดใดไม่ได้ จนได้ยินคำถามจากคนอ่อนแรง “ยังอยากไปด้วยกันมั้ย?”
          แทฮยอนปล่อยโฮ ไม่ใช่เพราะเสียใจจากเรื่องที่รู้ แต่เพราะได้คำตอบของคำถามนั้นอย่างง่ายดาย ไม่ว่าอีกคนจะเป็นอย่างไร วันนี้เขาก็เลือกแค่ทางเดียวคือไปกับอีกคน จะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือขวา เดินขึ้นสวรรค์หรือลงนรกขุมไหนเขาก็จะไป

          ขอแค่มีคนคนนี้
          จะทำอะไรเขาพร้อมจะทำตาม
          จะอยู่ที่ไหนเขาพร้อมจะไปอยู่ที่นั่น...

          “ผมจะอยู่กับคุณ จะอยู่ ฮึก” เพราะอีกฝ่ายคือความอิสระของเขา คือความเสี่ยง คือความหวัง คือทุกๆความหมายของทั้งชีวิตนี้
          “คุยกับฉันหน่อย ยังไม่อยากหลับเลย อยากเห็นทะเล เห็นพระอาทิตย์ก่อน” ร่างหนาบอกอย่างอ่อนแรง ลมหายใจเขาแผ่วลงทุกขณะ เสียงของแทฮยอนเหมือนกระตุ้นลมหายใจให้ยังเข้าออก กระตุ้นหัวใจให้ยังเต้น
         
          ภาพทุกอย่างพร่าเลือนแต่คนตรงหน้ายังชัดเจน
          เหมือนดวงดาวเล็กท่ามกลางความมืดมิดอันน่ากลัว

          ต่อสู้ไปคนเดียวคงยากท่ามกลางความมืดมิด
          หากอยู่ด้วยกันมืดเท่าไหร่คงไม่กลัว

          มืดมิดไปด้วยกัน...

          “ผมไม่รู้ ฮึก จะพูดอะไร” เขาพูดไม่ออก ถ้าจะให้พูดอะไรตอนนี้ยากเสียยิ่งกว่าตอนที่หนีออกมาจากซ่องเสียอีก
          “รักฉันมั้ย?” คำถามที่ทำให้ใจกระตุก แต่คำตอบก็มีอยู่แล้ว เราไม่เคยบอกกันแต่ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงความเป็นจริงข้อนี้
          “ผมรักคุณ” ร่างผอมยิ้มทั้งน้ำตา
          “ฉันก็เหมือนกัน รัก” และประโยคสนทนาของเราก็ดำเนินต่อไปเช่นนี้ตลอดการเดินทาง ไม่มีเรื่องราวอะไร ไม่มีความจริงอะไรที่แสนจะจริงเท่ากับเรื่องนี้ คำพูดเดิมสลับไปมา ปลอบประโลมความเจ็บปวดได้เหมือนยาชา ขับเคลื่อนลมหายใจแผ่วให้ดำเนินต่อ ดึงรั้งสติให้ตื่นรู้สิ่งที่อยากรับฟังไปตลอด เรียกน้ำตาหลั่งรินเพราะความรักที่สมหวังแต่แสนจะเจ็บปวด บีบคั้นถึงขนาดที่แม้แต่คนที่รับฟังอยู่เบาะหน้าเพียงอย่างเดียวยังน้ำตาคลอตามไปด้วย

          ยังดีที่รู้จักกัน
          ยังดีที่ได้รู้จักรัก...




When I call your name
Oh little be a little star
Little be a shining star




         
          เราใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงมาถึงที่ที่อยากมา ทะเลตอนกลางคืนมืดมิดเสียจนไม่ได้น่าดู เพื่อนของมินโฮขนของเข้าบ้าน ปล่อยทิ้งเวลาให้คนสองคนได้เป็นส่วนตัว ในขณะที่ร่างผอมช่วยพยุงร่างที่แทบจะสิ้นแรงลงทันทีที่ลงจากรถ มินโฮเหมือนถูกลากรั้งด้วยคนตัวผอมบาง ตามคำบอกของคนเจ็บ บ้านหลังเล็กชั้นเดียวติดทะเล หาดทราย มืดครึ้มแม้แต่ดาวสักดวงก็ไม่มี
          มินโฮทรุดตัวลงกับพื้นทรายพร้อมกับร่างผอมที่นั่งลงอยู่ข้างๆ ประสาทสัมผัสรับรู้ถึงไอลมเหนียวของทะเล กลิ่นเค็มที่ไม่เคยได้สัมผัส ความหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
          “ไม่สวยอย่างที่คุณบอก มันมืดไปหมด” แทฮยอนบอกอีกคนที่เอียงซบลงตรงไหล่เขา เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายให้การพักพิง
          “อีกแปปเดียว...พระอาทิตย์..คงจะขึ้น” เสียงแหบระโหยบอก
          “แค่มีแสงอะไรก็สวยหรือ?” เขาพูดอย่างเหม่อลอย เพราะสว่างหรือถึงจะเห็นอะไรที่สวยงาม เขาตั้งคำถามกับตัวเอง
          “ไม่ใช่หรอก....” คนเจ็บตอบ “บางอย่างสวยงามในตัวของมัน มืดมิดแค่ไหนก็งดงาม”
          “อีกนานมั้ยกว่าพระอาทิตย์จะมา” แทฮยอนหันไปถาม ยิ้มด้วยริมฝีปากในขณะที่ดวงตาเศร้าหมอง น้ำตาที่แสนเศร้ายังไหลรินออกมาแม้ว่าเขาจะยิ้ม
         
          เราจะรอกันไปจนถึงตอนนั้นเลยหรือ
          ต้องรออะไรอีก...
          ทั้งที่เราก็อยู่ด้วยกันแล้ว

          “สว่างแล้วฉันคงเห็นเธอชัดขึ้น” มินโฮว่า เขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าคนรัก เปลือกตาหนักอึ้งจนใกล้จะปิดเสียเต็มที่ คงจะมืดมากจริงๆ เขาถึงไม่เห็นใบหน้าของแทฮยอนเลย ทว่าก็ยังจดจำทุกสัดส่วนได้เป็นอย่างดีในความทรงจำ
          “ฮึก... ตรงนี้มืดมาก ผมก็มองคุณไม่ค่อยชัด” แทฮยอนบอกทั้งน้ำตา เขากลั้นเสียงสะอื้นจนสุดในลำคอ “คุณเดินไหวมั้ย? ผมอยากเดินไปดูพระอาทิตย์ใกล้ๆ กว่านี้ ใกล้จะสว่างแล้ว เดินไปที่ทะเลกันนะ ตรงนั้นเริ่มจะมีแสงแล้ว”
          “อืม....” เสียงแหบพร่าตอบรับทั้งที่ร่างกายไม่อำนวย ฝืนตัวเองจนสุดแรง ถูกร่างผอมแบกไว้เกือบทั้งร่าง แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่แคบ เอวสอบถูกประคองด้วยแขนเรียว
          แทฮยอนพากันเดินไปอย่างทุลักทุเล เดินเท่าที่แรงอีกคนจะพอมี จะก้าวสั้นก้าวยาวตอนนี้เราก็ยังก้าวไปพร้อมกัน ลมเย็นปะทะร่างมากขึ้นตอนที่เราเดินไปใกล้กับทะเลที่คลื่นซาดซัดเข้าฝั่ง
          พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าแต่แสงสลัวรำไรโผล่มาให้เห็น แทฮยอนไม่ได้ชื่นชมความสวยงามเสียเท่าไหร่ เขามองมันด้วยความรู้สึกอิสระเต็มที่ หากท้องฟ้าสว่างจ้าเมื่อไหร่เมื่อนั้นความอิสระคงมาสู่เขาอย่างแท้จริง
          เราเดินกันไปเรื่อยจนกระทั่งขาแตะพื้นน้ำ มินโฮชะงักเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ฝืนแรงเดินต่อ ไม่มีคำพูดอะไรเอ่ยออกมาจากเราทั้งคู่ เราปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบของทุกอย่าง เราพูดกันมาพอแล้ว ไอเย็นของน้ำทะเลปะทะผิวจนหนาวสั่นแต่แทฮยอนยังคงประคองอีกคนไว้มั่นพากันเดินต่อไป

          แสงนั้นเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ
          และเราอาจจะไปคว้ามันมาด้วยกัน

          ฟ้ายังมืดสลัวแต่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ สุดขอบทะเลเช่นเดียวกันกับเราที่เดินเรื่อยๆ ปล่อยให้สายน้ำโอบล้อม มินโฮแสบซ่านไปทั่วบริเวณที่เป็นแผลแต่เจ็บจนชินชาแล้วกับบาดแผลทางกาย ในขณะที่แทฮยอนรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดสงบของทะเลและเกลียวคลื่น
          มินโฮหยุดเดินแล้ว ไม่ใช่เพราะไม่อยากไปต่อแต่เขามีแรงเพียงเท่านี้ แทฮยอนปล่อยให้น้ำตาไหล คลื่นกำลังซาดซัดมาที่เราทั้งคู่ในขณะที่เราโผเข้ากอดกันโดยไม่ยอมแยกจาก
          แทฮยอนจูบลงที่ริมฝีปากหยักที่มุมปากมีแผล กลิ่นคาวเลือดฟุ้งทันทีที่ประกบทาบทับ เป็นจูบแผ่วเบาทว่าความรู้สึกมันลึกซึ้งจนยากจะบรรยาย เราปล่อยให้สายน้ำโอบรอบกาย ถึงหนาวสั่นก็ไม่เป็นไร ความอบอุ่นในใจของเรามันมากพอแล้ว ความมืดยังโอบล้อมเราไว้ตอกย้ำชะตาชีวิตตลอดมาที่ทั้งมืดมิดและสิ้นหวัง
          บางทีตอนที่เราจมลึกดำดิ่งใต้ท้องทะเลเราอาจจะไม่ได้อยากได้คนโยนห่วงยางมาให้ เราอาจจะแค่ต้องการใครบางคนที่ดำดิ่งไปพร้อมกับเรา

          พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว

         
          แต่เราคงไม่ได้เห็นอีกต่อไป...

         
          แต่ตรงนี้ก็มีความมืดมิดที่สวยงามรออยู่...













----------------- [ Take me out ] -------------------



writer : @leensilence



#510330tracks

track, beating and them






Comments

  1. 1xbet korean registration (over)
    1xbet korean registration (over) 1xbet 1xbet.co.kr. 1xbet.co.kr. งานออนไลน์ Sports Betting. deccasino Betting. Bet on all upcoming games.

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

[ Take me out ] - 01

[ Take me out ] - 03