[ Take me out ] - 02




[ Take me Out ]

- ตอนที่ 2 -





          เวลาไม่เคยหยุดเดินและทุกวันที่เดินผ่านไปเป็นเหมือนการนับถอยหลังไปสู่สิ่งที่แทฮยอนไม่อยากจะเผชิญ เขาไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่ได้รอด้วยใจจดจ่อทว่าไม่เคยลืมนึกถึงว่าต้องมีวันนั้น เขาใช้ชีวิตวันแล้ววันเล่ากับความมืดมิดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในจิตใจ ดวงตาเรียวมองผ่านหน้าต่างบานเดิมแต่นั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเดิม
          ไฟริมทางสีเหลืองหม่นดับลงเป็นดวงเท่าไหร่ก็ไม่รู้ซึ่งไม่มีใครคิดจะสนใจเฉกเช่นตัวเขา ทุกอย่างดำเนินไปตามแนวทางของมันไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่สิ่งเดียวที่กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาลคงเป็นตัวเขา..
         
          ทั้งที่รู้ว่าหนทางข้างหน้ามันมืดมิด
          แต่ทำไม..
          เขาไม่เคยก้าวออกไปได้เสียที

          นัยน์ตาโศกทว่าฉายแววเรียบเฉยทอดมองไปยังเบื้องล่าง ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังมองหาร่างของใครบางคนที่พานพบทุกค่ำคืนผ่านการมองจากที่ตรงนี้
          แค่สายตาสบสายตาไร้การพูดคุย ทำเพียงมองกันและกันอยู่ชั่วครู่ชั่วคราวเหมือนแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทว่ากลับทำให้เขารอคอย
          แทฮยอนไล่มองหาคนคนนั้นจากกลุ่มทุกกลุ่มแต่วันนี้กลับไม่พบ จนกระทั่งละสายตามองผ่านไปเจอที่มุมตึกฝั่งตรงข้าม คนคนนั้นยืนพิงกำแพงและสูบบุหรี่อย่างเคย ใบหน้าคมเงยพ่นควันบุหรี่ทั้งที่ดวงตาจ้องมองมาในทิศทางที่เขาอยู่ มันก็เป็นเรื่องแปลกที่เขาสามารถมองจากตรงนี้ผ่านความมืดมิดแต่ก็ยังดูออกว่าคนคนนั้นก็คือ...คนคนนั้น
         
          คนที่รู้จักกันผ่านทางสายตา...
          ไม่มีการทำความรู้จัก
          แม้เราจะเจอกันมามากกว่าสองครั้งแล้วก็ตาม...

          ที่ร้านสะดวกซื้อตอนกลางวัน เขานั่งมองรถขวักไขว่ไปมาอย่างเคยหลังจากที่ไม่ได้มานั่งที่นี่เป็นอาทิตย์เพราะฝังใจกับเรื่องวันฝนตกวันนั้น และความบังเอิญทำให้เขาเจอกับผู้ชายท่าทางคุ้นเคยทั้งที่ไม่ได้รู้จักใกล้ชิด ฝ่ายนั้นมาซื้อบุหรี่ในขณะที่เขากำลังนั่งแกะข้าวปั้นกำลังจะกินเป็นอาหารกลางวัน ทว่าทุกอย่างชะงักลงเมื่ออยู่ดีดีเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
         
          เขาเดินไปขวางคนคนนั้นก่อนที่จะออกจากร้านสะดวกซื้อ
          ยื่นข้าวปั้นในมือให้

          ไม่มีอะไรจะตอบแทน
          ข้าวปั้นนี่มีค่าที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้         

         “อะไร”
         “ผม..ให้”
         “ให้?”
         “ตอบแทนที่คุณ—“
         “อืม”

          ไม่ได้พูดอะไรกันมากมาย ยังไม่ทันได้พูดจนจบด้วยซ้ำคนคนนั้นก็รับเอาข้าวปั้นก้อนนั้นไป อาหารกลางวันเพียงอย่างเดียวของเขาทว่าการไม่ได้กินมันวันนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกหิวสักนิด ไม่ได้พูดคุยยาวเหยียด ไม่มีการทำความรู้จักแต่เขากลับรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว
          การกลับมามองที่หน้าต่างทุกคืนเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นปกตินั่นแหละ เพียงแต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้มองไปที่จุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษแต่ตอนนี้เขามีบางอย่างที่เลือกจะมอง
          แค่มอง...
          อาจเพราะรูปร่างของผู้ชายคนนั้นโดดเด่นไม่อ้วนไม่ผอม ทว่าจากการพบกันกี่ครั้ง เขาเห็นชัดเจนถึงรูปหน้าตอบ สันกรามชัด ผิวสีเข้มและผมสีอ่อนที่กัดซีดแต่เห็นโคนดำ ทุกอย่างที่รวมกันเป็นคนคนนี้นับว่าน่ามอง
          ทั้งที่อันที่จริงสิ่งที่เขาเฝ้ามองกลับเป็นแค่ดวงตาคม
          แสนเย็นชาและดุดัน
         
          แต่จะให้มองใกล้ๆ คงไม่กล้า
          จากตรงนี้ห่างพอให้ได้เพ่งมองจนพอใจและฝ่ายนั้นคงไม่รู้ตัว

          ก็แค่มอง..
          เท่านั้นจริงๆ...

          ร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่มุมตึกเหมือนรู้ตัวว่ามีคนมอง เขาเหลือบสายตาขึ้นมองไปยังบานหน้าต่างของตึกท้ายซอย หลายห้องเปิดไฟไว้หลายห้องปิดไฟ แต่จะมีห้องๆ หนึ่งเสมอที่เปิดหน้าต่างไว้พร้อมกับคนคนหนึ่งที่มักจะยืนดูดาวอยู่ตรงหน้าต่าง
          เขาคิดว่าอย่างนั้น

          จนบางครั้งยังเผลอมองตามว่าไอ้ท้องฟ้ามืดๆ มันมีอะไรน่ามองนักหนา คนคนนี้ถึงได้ออกมามองทุกวัน บางทีเขาก็สงสัยว่าไม่ทำงานหรืออย่างไร?

          งานอย่างที่ใครในตึกนั้นทำ

          แน่นอนว่ามันมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว บางทีเขาไม่ได้เงยหน้ามองฟ้าตามอย่างคนคนนั้น แต่กลายเป็นว่าเขามองไปที่หน้าต่างบานนั้น จ้องร่างผอมบาง ผิวขาวซีดที่สะท้อนแสงไฟจนสะดุดตา

          บางครั้ง...
          เราสบตากัน
          เพียงชั่วครู่ชั่วคราว...

          ไม่ได้ก่อความรู้สึกอะไร
          เพียงแค่...มันได้มองทุกคืนก็...เคยชิน

          แทฮยอนเห็นคนสูงโปร่งขยี้บุหรี่ด้วยปลายเท้าก่อนเดินออกจากหลืบนั้นมาหยุดที่กำแพงว่างเปล่าซึ่งถูกขีดเขียนด้วยฝีมือของคนแถวนี้ เป็นรูปเป็นร่างบ้าง เป็นคำสบถหยาบๆบ้าง ร่างสูงพิงหลังกับกำแพง พักขา สองมือล้วงกระเป๋าก่อนเงยหน้ามองบางอย่าง

          จนได้รู้ว่า...
          สิ่งที่คนคนนั้นออกมามองทุกวันไม่ใช่ท้องฟ้า
          ไม่ใช่ดวงดาว...
         
          แล้วก็ได้รู้ตัวว่า...
          เขาไม่ได้เงยหน้ามองฟ้า...

          เขามองไปที่อีกคน
          และคนคนนั้นมองมาที่เขาไม่ต่างกัน

          จน....
          ตาสบตา

          ต่างคนต่างมองกันนิ่ง ราวกับว่าบังเอิญเห็นกัน ไม่รู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่เรียกมันว่าเรื่องบังเอิญ เคยชินกับการมองไปที่จุดๆ เดิมจนไม่อาจละสายตาจากกันได้ เหมือนว่าเรากลายเป็นจุดพักสายตาของกันและกัน จนกลายเป็นว่าเราเห็นกันทุกวันอย่างนี้

          ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดใด
          ไม่รู้ว่าในระยะเท่านี้เราเห็นกันได้มากแค่ไหน

          ไม่เคยอยากรู้
          จนกระทั่งอยากรู้
         
          ว่าที่เรามองเห็นกันทุกวันนี้
          เราเห็นกันแค่ไหน

          มุมปากบางยกยิ้มน้อยๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงยิ้มแต่ในขณะที่ตัวเขาเหลือบไปเห็นร่มเก่าๆซึ่งเก็บไว้แต่ไม่ได้มีโอกาสเอาไปคืนคนที่ให้ เขาก็ยิ้มออกมาเสียอย่างนั้นเมื่อคนคนนั้นอยู่ในครรลองสายตา ท่ามกลางเรื่องขมขื่นทั้งหมดในชีวิต เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงยังยิ้มออกมาได้เพียงแค่มองเห็นใครคนนั้น
          ซงมินโฮเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มมาให้แน่หรือเปล่า มันนับครั้งไม่ถ้วนที่เราเผลอมองกันผ่านความบังเอิญที่เรายกมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ความจริงเรามองหากัน สามครั้งที่เราเผชิญหน้าไม่มีครั้งไหนที่พูดคุยจริงจังแต่กลับทำให้เราอยากมองกันมากขึ้นไปอีกในยามค่ำคืน
          มุมปากหยักข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อย เขายกบุหรี่ขึ้นจุดอีกครั้ง เงยหน้าพ่นควันทั้งที่สายตายังจดจ้องไปที่เดิม ไม่มั่นใจว่าร่างบางมองเห็นการตอบรับของเขา แต่เขาถือว่าการที่อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมคือรู้กัน

          นับว่าเรารู้จักกันแล้วได้หรือเปล่าทั้งที่ไม่เคยทำความรู้จัก...

          จากห้องแคบๆ ที่แทฮยอนอยู่มองลงไปเห็นใครอีกคนภายใต้แสงสลัวของไฟทาง ทั้งที่ตรงนั้นก็มืดมิดพอๆ กับตรงนี้แต่เขากลับรู้สึกว่ากำลังเห็นแสงสว่างบางอย่างจากตรงนั้น อาจจะเป็นแสงสว่างจากไฟริมทางหรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้เขาอยากไขว้คว้าเอาไว้เพราะมันอาจจะเป็นแสงเดียวที่เขาอาจจับต้องได้ในชีวิตนี้

          อยากลองเดินเข้าหาเพราะมันสว่าง
          โดยที่ไม่รู้ว่าบางที...
          มันอาจจะมืดมิดพอพอกัน



I wake up at night
To find you and hold you
But nobodys in here with me







          ทุกอย่างมีเวลาของมัน ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน...
         
          ทั้งที่เรามองเห็นกันอยู่ทุกค่ำคืน เคยช่วยเหลือ เคยตอบแทนแต่ก็ไม่ได้พัฒนาความชิดเชื้อได้เท่ากับยิ้มเดียวจากที่ไกลๆ
          แทฮยอนยังคงชอบไปที่ร้านสะดวกซื้อ มองรถสัญจรไปมา ทว่าบางสิ่งแปลกไป จากที่ไม่เคยจะเจอผู้ชายคนนั้นก็เจอบ่อยขึ้น จากที่แอบมองแค่ตอนที่เขาคนนั้นซื้อบุหรี่แล้วเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลายเป็นได้มองผู้ชายคนนั้นยืนสูบบุหรี่ใกล้ๆ
         
          ใกล้แค่เพียงกระจกกั้น

          ร่างบางนั่งกินข้าวปั้น เขาคนนั้นยืนพ่นควันบุหรี่คลุ้งอยู่ด้านนอก จากที่เคยยืนหันหลังให้เปลี่ยนเป็นหันมองกันและกัน
          แทฮยอนเผลอกัดปากอย่างประหม่าตอนที่คนคนนั้นสูดลมเฮือกสุดท้ายแล้วพ่นออกมาช้าๆ ก่อนขยี้ก้นกรองด้วยปลายเท้า เขาเป็นฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีเพราะสู้สายตาที่ดูเย็นชาทว่ามีเลศนัยนั่นไม่ไหว จนกระทั่ง...
         
          ก๊อก.. ก๊อก...

          ซงมินโฮงอปลายนิ้วก่อนจะเคาะกระจกเรียกเบาๆ เขาเคาะกล่องบุหรี่ลงที่หลังมือก่อนจะคีบขึ้นโชว์เป็นเชิงว่าให้ออกมาสูบด้วยกัน เชิญชวนไปอย่างนั้นทั้งที่พอจะรู้ได้จากท่าทางและสีปากกระจับอมชมพูว่าฝ่ายนั้นคงไม่สันทัดเรื่องบุหรี่เท่าไหร่ แต่คนตึกนั้นคงไม่ได้ใสจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก..
          ร่างผอมมองท่าทางของอีกฝ่าย เขากระพริบตาถี่กว่าปกติเวลาทำตัวไม่ถูกและตอนนี้คงเป็นอย่างนั้นเพราะอีกฝ่ายกำลังขำกับท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูกของเขา ทว่าสองขากลับแตะลงกับพื้นพร้อมเดินออกไปหาบางอย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้ไม่เคยลอง
          ใจเขาเต้นตึกตักเป็นจังหวะคงที่ มันไม่ได้รวดเร็วขึ้นแต่เขารู้สึกว่ามันเต้นแรงขึ้นแปลกๆ ราวกับหัวใจมันสูบฉีดเลือดได้คล่องกว่าเคย มันคงเพิ่งจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก็วันนี้ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังคาบบุหรี่จุดแล้วส่งให้
          แทฮยอนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมาอย่างเสียไม่ได้ เขาจับไว้เฉยๆ จนอีกฝ่ายจุดมวนของตัวเองขึ้นสูบอยู่ตรงหน้าไปหลายเฮือกแล้ว
          “เอาสิ” คนผิวเข้มพูด “ให้ฟรี เห็นมองอยู่นานแล้ว”
          แทฮยอนไม่ได้ตอบโต้ทั้งที่นึกค้านอยู่ในใจเพราะเขาไม่ได้มองอีกฝ่ายเพราะอยากบุหรี่ แต่จะให้หาเหตุผลเขาก็คงไม่มีให้ ร่างบางลอบมองท่าทางของอีกฝ่ายก่อนจะลองยกแท่งสารพิษขึ้นจ่อริมฝีปาก แต่เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าเท่านั้นก็สำลักออกมา
          “แค่ก แค่ก” ความขมปร่าตีตื้นเข้าลำคอ แสบร้อนไปจนถึงโพรงจมูก เขาเผลอปล่อยบุหรี่มวนนั้นตกพื้นโดยที่ไม่ได้ระวัง
          ร่างหนาเผลอเหยียดยิ้มกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนจะตบหลังให้เบาๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายคอเพราะควันบุหรี่
          “อย่างนี้น่ะ เสียดายของ” เขาใช้ปลายเท้าขยี้บุหรี่ค่อนมวนที่ยังไม่ถูกสูบแต่กองอยู่กับพื้น
          “ขอโทษ..อึก” แทฮยอนยังแสบคอไม่หายด้วยซ้ำ
          “ไม่เคยสูบหรือไง” ดูจากท่าทางคงไม่น่าถามเท่าไหร่ แต่ที่แปลกใจคือไม่เคยสูบแล้วจะรับไปทำไมก็เท่านั้น
          “เอ่อ..” แทฮยอนอ่ำอึ้งๆ ตอบ ทว่าคำตอบก็ยังไม่ตรงคำถาม “อยาก..ลอง”
          “งั้นหรอ?” เขาตอบรับพลางเลิกคิ้วอย่างคิดอะไรขึ้นได้ “วิธีง่ายๆ มันก็มี”
          “หืม?”
          “แต่ตรงนี้ไม่ได้” คนผิวเข้มบอก แทฮยอนได้แต่นึกฉงน เข้าใจเรื่องการจะสอนวิธีแต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมถึงลองตรงนี้ไม่ได้ ซึ่งกว่าจะคิดอะไรได้ ข้อมือเล็กก็ถูกรั้งให้เดินตามกันข้ามถนนไปแล้ว ตอนนั้นเองที่ใจเขาเต้นเร็วขึ้นจนตัวเขาเองยังจับจังหวะไม่ได้ ไม่รู้เพราะว่าเขากำลังก้าวออกห่างจากสถานที่ที่คุ้นเคยหรือว่าเพราะมืออุ่นๆ ที่กำอยู่รอบข้อมือเขากันแน่
          ไกลออกไปจากซอยที่คุ้นชินแค่อีกฝั่งของถนน ทว่าสำหรับเขามันแปลกใหม่แล้วจริงๆ คนเดินนำก้าวยาวจนแทบตามไม่ทันแต่เขาก็ยังเร่งฝ่าเท้าเพื่อตามไปแม้จะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง
          แปลกที่ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือรังเกียจอย่างที่เคยโดนใครฉุดกระชากแต่ตัวเขากลับรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยากพูดถามอะไร
         
          กับคนคนนี้...
          เขาก็ยังหาคำตอบให้ความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

          ไม่ได้ไว้ใจ...
          แต่ไม่ได้รังเกียจ

          กลัว...
          แต่ยังอยากมองเห็น   
         
          ยังอยากรู้ให้มากกว่านี้ ให้มากกว่าการมองเห็นกันทุกค่ำคืน มากกว่าการเดินผ่านกันไปมา มากกว่าการแอบมองในร้านสะดวกซื้อ และมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกการกระทำในทุกทุกวัน
          กว่าจะรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหนแทฮยอนก็โดนดันร่างผอมบางเข้าไปในซอยหลืบเล็กหลังสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เดาว่าซอยนี้คงไม่ต่างจากซอยที่เขาอยู่นัก อย่างไรในย่านนี้ก็เป็นแหล่งรวมความอโคจรอยู่แล้ว เพียงแต่ความน่าตื่นตาตื่นใจจากการที่ได้ออกมานอกสถานที่ที่คุ้นเคยนับว่ามากอยู่ แม้จะข้ามมาแค่อีกฟากหนึ่งของถนนทว่าคนอย่างนัมแทฮยอนที่ทั้งชีวิตมีเพียงห้องแคบๆ กับแสงไฟริมทางให้คอยสังเกต ชีวิตในกรงของเขาแค่อีกฝากถนนก็เหมือนได้ออกมาจากกะลา
          ผู้ชายคนนั้นนั่งลงกับบันไดเหล็กที่มีเอาไว้เป็นทางหนีไฟของร้านเหล้าแห่งนี้ รวมทั้งตัวเขาที่ถูกพามาด้วยกันนั่งอยู่ข้างๆ แน่นอนว่าใกล้ชิดจนแทฮยอนเองไม่สามารถเก็บอาการประหม่าไว้ได้มิด แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้แสดงความสนใจอะไรมาก
          คนตัวผอมจะเขยิบให้ห่างมากก็ไม่ได้ จะให้เขยิบเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า ร่างบางจึงเลือกที่จะพิงหลังไว้กับราวบันไดที่ไม่มีความมั่นคงใดใดก่อนจะมองฝ่ายนั้นที่จุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกมวน
          เขามองอีกคนที่พ่นควันลอยคลุ้งในอากาศ กลิ่นเผาไหม้ของมันชวนให้เวียนหัวแต่กลับไม่ได้นึกรังเกียจ เขามองท่าทางสบายๆ นั่นด้วยความผ่อนคลายลงทีละนิด ท่ามกลางความเงียบ ความประหม่าค่อยๆ จางหายไป หลงเหลือไว้เพียงความอึดอัดเล็กน้อยเพราะไม่มีการพูดคุยใดใด จนกระทั่งหมดบุหรี่ไปอีกมวน
          “คุณ...เอ่อ..”
          “ว่า?” เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ แตกต่างจากแทฮยอนที่เกร็งจนพูดตะกุกตะกัก
          “เรา..ที่นี่ เอ่อ..จะไม่โดนว่าหรอ” เขากังวลว่านี่ไม่ต่างจากการบุกรุก ถึงแม้จะเป็นเพียงพื้นที่แคบๆหลังร้านก็ตาม
          “ไม่หรอก” คนพามาส่ายหน้า เขาเคาะบุหรี่อีกมวน “อยากจะลองหรือยัง?”
          แทฮยอนพยักหน้าแต่ก็ยังไม่ได้หยุดถาม “คุณ..ทำงานที่นี่ด้วยหรอ?”
          “รู้หรือไง? ฉันทำงานอะไร” คนที่กำลังจุดบุหรี่แสร้งถามพลางยักคิ้วให้อย่างยียวน
          “เอ่อ.. ผมไม่..เอ่อ” แทฮยอนส่ายหน้าไปมา ความประหม่าครอบงำเขาอีกครั้งจนได้
          “คิดว่างานอะไรล่ะ?” คนคนนั้นยังไล่ต้อน พูดกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ “คุมบ่อน ทวงหนี้ ได้เงินดีดีก็กระทืบคนตามคำสั่ง ช่วยนิยามหน่อยสิ”
          คนที่ก้มหน้าอยู่แล้วยิ่งก้มหน้าเข้าไปใหญ่ ตอนที่ได้กลิ่นบุหรี่มวนใหม่เขายิ่งอยากหายไปจากตรงนี้ พึ่งจะรู้ตัวว่าถามอะไรที่ไม่น่าถามเอาซะเลย
          “อ้ะ!” แต่แล้วก็หลบได้ไม่นานเพราะใบหน้าถูกมือใหญ่เชยขึ้นให้เงยมอง ก่อนที่มือสากจะบีบอุ้งปากเล็กให้ยู่ออก เขยิบเข้าใกล้จนคนโดนกระทำเผลอผลักไส สองมือดันอยู่ที่ไหล่แข็งใบหน้าเอียงหนีทว่าไม่พ้น
          ความใกล้ชิดเข้าครอบงำจนน่ากลัว จังหวะนั้นเขากำลังจะทุบลงที่อกแกร่งเพื่อผลักไสแต่ทว่าการกระทำบางอย่างก็เกิดขึ้น ควันสีเทาถูกพ่นออกจากปากหยักดันตัวเข้าสู่โพรงปากเล็กตามแรงเป่า ความขมลงคอคนที่อยู่ตรงข้าม แทฮยอนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่มือใหญ่ข้างที่ว่างจะลูบลงเบาๆ ที่หลังแล้วออกคำสั่ง “สูดเข้าไปแล้วพ่นออกมา”

          นี่คือวิธีการลองบุหรี่สินะ...

          “แค่ก..แค่ก!” สุดท้ายก็สำลักออกมาอย่างเคย
          “ก็บอกให้พ่นออกมา” คนทำพูดอย่างนึกขำ
          “พ่น..ยังไง” เขาถามกลับด้วยความไม่รู้ “ทางจมูก..หรือว่าปาก..”
          “หึ ทางไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” เผลอขำออกมานิดๆ พลางสูดลมเข้าปอดก่อนปล่อยให้ออกมาเอื่อยๆ เหมือนเป็นการโชว์ เขามองหน้าขาวๆ ที่สำลักจนขึ้นสีอย่างนึกสนุกปนเอ็นดู
          ร่างหนาหันเข้าหาอีกครั้งก่อนขยับเข้าไปใกล้ยกมือรั้งใบหน้าอีกคนอย่างเดิมแต่คราวนี้ไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายปากบางก็เผยอออกเหมือนรอคอย เขาปล่อยควันที่เก็บไว้เข้าปากอีกคนเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้เราสบตากัน มันวูบวาบอาจเพราะรสขมปร่าและความร้อนผ่าวที่ปลายลิ้น ฝ่ายนั้นพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงให้ปล่อยลมออก ควันสีหม่นถูกไล่ออกมาอีกครั้งลอยคลุ้งในอากาศ เขามองหน้ากันผ่านสายหมอกควันก่อนหลุดยิ้มพึงพอใจ
          คราวนี้ไม่สำลักแถมยังรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
          รสบุหรี่ยังขมอยู่ในโพรงปากทั้งยังร้อนผ่าวไปทั่วลำคอ มันแปลกแต่เขากลับชอบความรู้สึกยามที่ควันขมไหลผ่านลำคอ

          ทั้งที่รู้สึกได้ว่ามันขมแต่กลับรู้สึกถึงรสหวานที่ตามมา

          “วิธีนี้ง่ายกว่าดูดเองหรือเปล่า” คนสอนถามแกมหยอก คนถูกถามหน้าขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้ พึ่งเข้าใจก็ตอนนี้ว่าทำไมถึงสอนกันตรงหน้าร้านสะดวกซื้อไม่ได้
          “อืม...เอา... เอาอีกได้มั้ย?” คนตัวขาวกลั้นใจขอ เขาอยากมั่นใจในความรู้สึกว่ามันทั้งหวานทั้งขมอย่างที่เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ฝ่ายนั้นยกยิ้มชอบใจแล้วจัดให้ตามคำขอ
          มือใหญ่ข้างหนึ่งเชยคางอีกข้างคีบบุหรี่ คนสอนขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนตอนนี้นั่งเบียดกันแต่ระยะห่างของใบหน้ายังเท่าเดิม ริมฝีปากบางเผยอรออย่างรู้งาน ควันสีจางพร้อมกับลมร้อนส่งผ่านจากริมฝีปากสู่ริมฝีปาก ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เผลอหลับตาแต่ทุกครั้งที่ลืมตามาใบหน้าคมพร้อมกับดวงตาดุจเหยี่ยวก็จับจ้องอยู่ทุกที
          หนึ่งมวนต่อมวนสองอย่างชำนาญและติดต่อกันเรื่อยๆ เป็นมวนที่เท่าไหร่ไม่รู้อย่างไม่ขาดตอน ฝ่ายหนึ่งเสนอให้อีกฝ่ายตอบสนองอย่างอัตโนมัติ ทุกอย่างขยับใกล้ชิดอย่างไม่รู้ตัว จากที่ห่างกันเป็นคืบลดลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน จากสัมผัสได้ถึงลมหายใจปลายจมูกก็ชนกัน ใบหน้าคมเอียงเข้าหาเมื่อความห่างมันลดทอนจนเกือบแนบชิด แทฮยอนเผลอเขยิบเข้าไปหาจนขาเกยอยู่บนตักแข็ง ทุกอย่างเป็นไปเองเหมือนไม่รู้ตัว กว่าจะรู้สึกอะไรก็ตอนที่ความร้อนจากฤทธิ์บุหรี่แปรเปลี่ยนเป็นความร้อนจากริมฝีปากของคนที่คอยป้อนสารพิษให้
          กลิ่นบุหรี่ยังคละคลุ้งอยู่ในโพรงปาก ความขมยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นทว่าความหวานที่แทรกเข้ามาก็หวานคลุ้งอยู่ทั่วริมฝีปาก ร่างหนาหยั่งเชิงกดจูบที่มุมปากบางเบาๆ เขาสูดควันอีกครั้งก่อนป้อนจากปากสู่ปากโดยไม่ผ่านอากาศเป็นตัวกลาง แทฮยอนมัวเมาไปกับกลิ่นและรสพร้อมโอนอ่อนตามการชักนำ สองมือกำขอบเสื้อของอีกคนแน่น เมื่อฝ่ายนั้นเป็นคนไล่ควันออกมาก็โล่งในจมูกแต่เต็มตื้นในความรู้สึก มินโฮทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นโดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะติดหรือดับ แขนข้างหนึ่งรัดเอวบางเข้ามาใกล้ส่วนอีกมือเชยคางมนให้เอียงหน้ารับริมฝีปาก
          ไม่รู้ว่าเพลิดเพลินกับรสบุหรี่หรือรสจูบแต่ทุกอย่างยังดำเนินไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ความช่ำชองของร่างหนาชักนำผู้ตามที่ดีอย่างแทฮยอนได้อย่างราบรื่น เขาเน้นจูบที่ริมฝีปากล่างคลอเคลียอยู่อย่างนั้นก่อนผละจูบให้ได้มองตาแล้วสานต่อให้ลึกซึ้งกว่าเดิมด้วยการครอบครองทั้งริมฝีปากสีหวาน แทรกลิ้นชื้นติดกลิ่นควันสำรวจโพรงปากของอีกฝ่าย
          แทฮยอนมึนงงในหัวเหมือนโลกหมุน สิ่งที่รับรู้คือกลิ่นบุหรี่กับความร้อนวูบวาบที่แล่นไหลไปทั่วร่างราวกับกระแสไฟฟ้า รู้ตัวว่าถูกทำอะไรแต่ไม่คิดจะตอบโต้ ด้วยความอยากรู้อยากลอง เขาถูกลิ้นร้อนกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากจนน้ำสีใสไหลออกที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัวแต่อีกคนก็ใช้หัวแม่มือปาดเช็ดให้อย่างทันท่วงทีไม่มีขาดตอน
          เขายังสัมผัสได้ถึงความขมของบุหรี่ทว่าความหวานกลับแทรกเข้ามาจนล้ำหน้า มือที่เคยกำอยู่ที่ขอบเสื้อถูกยกขึ้นโอบรอบคออีกคนเมื่อลมหายใจเริ่มจะติดขัด เผลอจิกมือลงกับไรผมที่ต้นคอของอีกคนอย่างไม่รู้ตัว แต่คนถูกกระทำรู้จึงทิ้งสัมผัสสุดท้ายไว้ที่ปลายลิ้น ดูดดุนเบาๆ ให้พอรู้สึกก่อนจะผละออกแต่ไม่ได้ห่างไป
          เขาสบตากันใบหน้าหวานเห่อร้อน เขาโทษว่าเป็นเพราะฤทธิ์บุหรี่ หัวทุยเผลอซบลงที่ไหล่แข็งก่อนจะปิดเปลือกตาลงราวกับเหนื่อยล้าทั้งที่ความจริงแค่ไม่กล้าสู้หน้าแต่ก็ไม่อยากถอยหนี ไม่รู้ความรู้สึกนี้คืออะไรแต่บอกได้เลยว่ามันเปิดโลกของนัมแทฮยอน
         
          เหมือนแสงสว่างที่รอดผ่านรูเล็กๆ
          มันยังมืดอยู่นั่นแหละ
          แต่ตาก็เห็นแสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

          เพิ่งจะรู้ว่าการสูบบุหรี่มันดีก็วันนี้เอง....








          จะนับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่รวดเร็วมั้ย?
          ถ้าเรายังไม่ได้แม้แต่ทำความรู้จักแต่เราจูบกันไปแล้วและมันรู้สึกดีจนเขาไม่อาจลืมความรู้สึกนั้นได้เลย ในระหว่างที่ความมืดมิดของชีวิตคืบคลานเข้ามาหา แสงหม่นๆ ยามค่ำคืนก็เปล่งประกายมากขึ้น
          ไฟริมทางในซอยได้รับการซ่อมแซมแล้ว
          เขามองมันอยู่ทุกคืนละสายตาจากตรงนั้นมองไปที่ใครอีกคนที่อยู่ข้างล่างนั้นบ้างอย่างสม่ำเสมอ เราไม่ได้แค่มองกันอีกแล้วแต่มันมีปฏิสัมพันธ์ผ่านสายตาที่เราส่งถึงกัน

          การจ้องมองที่มีนัยยะ
          มีแค่เราสองคนที่รู้ว่ามันคืออะไร
         
          เราเจอกันมากขึ้น มากกว่าตอนกลางคืนที่มองกันจากที่ไกลๆ เขาเริ่มสูบบุหรี่มากขึ้นแต่ก็ยังคงใช้วิธีเดิมในการสูบ เขาเดินข้ามถนนไปอีกฝากหนึ่งของซอยที่อยู่ห่างออกไปจากตึกที่เปรียบเสมือนกรงขังตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ
          หลังร้านเหล้าเก่าๆ ที่เดิมเป็นที่นัดพบกันและเป็นที่เดียวที่เขาได้สูบบุหรี่ จากที่เป็นฝ่ายรอรับอย่างเดียวเขาเป็นฝ่ายป้อนกลับไปบ้าง ทุกอย่างพัฒนาขึ้นตามเวลา
          ความสัมพันธ์ของเราก็เช่นกัน...
          จากห้องพักแคบๆ ของตัวเอง แทฮยอนได้เปิดหูเปิดตากับห้องนอนในบ้านโทรมๆ ที่มินโฮหารค่าเช่ากันกับเพื่อนที่ทำงานร่วมกันท้ายซอยฝั่งนี้
          ยังจำได้ว่าเข้าไปด้วยใจเต้นตึกตักแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากนั่งเฝ้าอีกคนที่หลับไปเพราะเหนื่อยงาน จนถึงตอนเย็นๆ เขาก็กลับตึกเพราะคงไม่ดีถ้าเรื่องนี้ถึงหูแม่ใหญ่ เขาที่มีหน้าที่แค่อยู่ในตึกเก็บตัวไว้เพื่อให้ถึงวันที่ขายออกคงโดนลงโทษให้เจ็บตัวไม่มากก็น้อยเป็นการสั่งสอน
         
          แต่นั่นแหละ...
          เขาก็ยังยอมเสี่ยง...
          โดยที่ไม่รู้เลยว่าผลที่ตามมามันจะดีหรือร้ายยังไง?

          เรารู้จักกันและกันมากขึ้นผ่านการพูดคุยที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยอะไร เหมือนเรารู้กันอยู่แล้วว่าต่างคนต่างเป็นยังไง ชีวิตเราไม่ได้สวยงามเราต่างคนต่างก็รู้ดี
         
          ฝ่ายนั้นทำอะไรบ้างและตัวเขาเป็นยังไง
          เราต่างก็รู้เรื่องราวของกันและกันผ่านความเป็นไปของสถานที่แถบนี้         

          การแนะนำตัวแบบง่ายๆ ของเราเกิดอย่างรวดเร็วและไม่ได้น่าจดจำเท่าหลายๆ อย่างที่อีกฝ่ายสอนให้เขาทำ
        
         “ซง..”
         “ซงมินโฮ”
         “รู้?”
         “พี่ที่ตึกบอกให้ฟัง”
         “อันที่จริงถ้ามีเงินคงจะกลับไปอีก ที่นั่นก็มีแต่ของดีดี” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระตอนที่ขยี้บุหรี่ด้วยปลายเท้า มือข้างหนึ่งยกลูบที่ข้างแก้มขาวซีดเพื่อบอกถึงของดีที่จะสื่อ “ชื่อเธอล่ะ?”
         “แทฮยอน นัมแทฮยอน” ตาสบตาแม้เสียงจะเบาหวิว ฝ่ายนั้นยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะจุดบุหรี่อีกมวน
         “สูบอีกสักมวนแล้วกัน”

          ความสัมพันธ์ของเรามันดำเนินไปรวดเร็วมากกว่าการรู้จักชื่อของกันและกัน แทฮยอนชอบเวลาที่ได้อยู่กับอีกคน มันเหมือนว่าชีวิตนี้เป็นอิสระ ทุกอย่างที่อีกคนทำหรือสอนให้ทำมันเหมือนเปิดกะลาที่ครอบเขาไว้จนมืดให้สว่างไสว เหมือนเปิดกรงให้นกตัวหนึ่งได้ลองสัมผัสลมใต้ปีกสูงเหนือฟ้า อีกคนใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างที่เขาไม่มีวันกล้าทำตามแต่ที่สุดก็ได้ทำ
          เราตัวติดกันตลอดช่วงกลางวันมาเป็นสัปดาห์และแทฮยอนรู้ว่าวันที่เขาไม่อยากให้มาถึงใกล้เข้ามาเต็มทีแต่ก็เลือกจะไม่ใส่ใจอีกแล้ว หากมันจะมาถึงก็มาถึง อาจเพราะทุกวันนี้เขาค้นพบสิ่งที่เป็นความตื่นเต้น แสนระทึกแต่ในเวลาเดียวกันมันทำให้เขาสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุขจนหลงเลือนเรื่องราวขมขื่นได้ชั่วขณะ
          ผู้ชายคนนั้นพาเขาไปในที่ที่เขาไม่คิดจะไปอย่างร้านสักต้นซอยที่ต่อให้เดินผ่านกี่ครั้งก็ไม่เคยคิดจะเข้าไป ยังจำได้ถึงเสียงฝีเข็มตอนที่สลักลงบนผิวสีแทน เขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่เจ็บแทนในขณะที่คนคนนั้นนั่งสูบบุหรี่สบายอารมณ์ รอยสักรูปดอกกุหลาบบริเวณอกขวาเป็นอีกลวดลายหนึ่งที่ปรากฏบนตัวอีกคนทั้งที่มีอีกหลายลายพาดไปทั่งลาดไหล่ อกซ้าย และชายโครง ทุกอย่างที่เผยให้เห็นปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่างดูเข้ากับอีกคนเสียเหลือเกิน แต่ละลายที่อีกฝ่ายสักนับว่ามีรสนิยมมากกว่าหลายลายที่เขาเห็นพวกนักเลงสักกันเกลื่อนไปทั่วทั้งซอย
          ซงมินโฮเหมือนเป็นคนสอนให้เขารู้จักชีวิตมาขึ้น ต้องรู้จักเสี่ยง รู้จักกล้า และแน่นอนว่าอีกฝ่ายสามารถดึงความกล้าของเขาออกมาจนหมดที่มี

          “เข้าเกียร์D ปล่อยเบรก แล้วเหยียบคันเร่ง” รถยนต์มือสองรุ่นเก่าของมินโฮถูกนำมาใช้ประโยชน์หลังจากที่เขาไม่ได้แตะมันนานแล้วเพราะไม่ได้ไปไหนไกลนอกเสียจากแถบนี้
         มือเรียวกำแน่นที่รอบพวงมาลัยบังคับทิศทาง หลังตรงตัวเกร็ง เกร็งขนาดที่แม้แต่ปลายเท้ายังเหมือนจะเป็นเหน็บชา แต่ก็ถูกสะกิดให้เหยียบคันเร่งเพื่อนำรถยนต์ให้พุ่งทะยานออกไป         ถนนเก่าแถบนั้นโล่งไม่ค่อยมีรถวิ่งถูกนำมาใช้เป็นสนามเรียนขับรถจำเป็นเพราะร่างหนาเห็นว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่คนตัวผอมนั่งจ้องมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปตามท้องถนนจากร้านสะดวกซื้ออย่างสนใจ เขาไม่ได้ใส่ใจหรอกแต่เห็นบ่อยจนจับสังเกตได้ก็แค่นั้น
         แทฮยอนแตะคันเร่งเบาที่สุดและรถไม่ได้พุ่งตัวไปอย่างที่คนสอนตั้งใจจะให้เป็น มันช้าเสียยิ่งกว่าเต่าคลานจนคนที่นั่งคุมอยู่ข้างๆได้แต่เกาหางคิ้วอย่างระอาใจ
         “เหยียบอีก” เขาสั่ง
         “หือ..” ใครจะกล้ากันเล่า
         “เปิดกระจกให้สุดที” เขาบอก พลางเปิดของฝั่งตัวเองลงจนสุดเช่นกัน “เหยียบแรงๆ ให้ถึง140ไปเลย”
         “ผม...กลัว” แทฮยอนปฏิเสธเป็นพัลวันทั้งที่สายตายังโฟกัสไปที่ถนนอย่างตั้งใจ เขาจับรถครั้งนี้ครั้งแรก และไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะได้ขับมัน
         “เหยียบ” คนสอนทำเสียงดุ หันหน้าไปสั่งอย่างจริงจังจนคนขับต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
         รถญี่ปุ่นมือสองทะยานไปตามถนนเปลี่ยวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนลมที่รอดผ่านกระจกแรงปะทะใบหน้าจนเย็นเชียบ เส้นผมพลิ้วปรกใบหน้า ทุกอย่างเหมือนล่องลอยไปท่ามกลางความเร็วที่ไม่หยุดนิ่ง เหมือนได้ความอิสระของสายลมมาอยู่ในกำมือ รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทว่า!
         “เบรก!” เอี๊ยดดดดดดดด!!!!!
         เสียงสั่งดังลั่นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเสียงยางล้อเสียดสีกับถนนอย่างแรง แทฮยอนเบรกกะทันหันตามคำบอกทั้งที่ไม่ได้รู้ว่าเพราะอะไร หัวเขากระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถแต่ไม่ได้แรงมากอะไรเช่นเดียวกับอีกคนที่เอามือกุมเพราะหัวกระแทกไม่ได้ต่างกัน
         ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองถนนอย่างตกใจ เสียงหัวใจเขาเต้นราวกับคนรัวกลอง กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรร้ายแรงเสียแล้วจนเจอต้นเหตุ
         แมวขนฟูที่เดินนวยนาดไปอีกฝั่งถนน...
         “ถ้านายเหยียบมัน นายคงไม่อยากขับรถอีกตลอดไป” คนที่สั่งบอก เราทั้งคู่มองตามแมวตัวนั้นจนสุดสายตาก่อนจะหันหน้ามองกันนิ่งแล้วก็หลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่
         มือใหญ่สอดเข้าที่หลังคอแล้วลูบเบาๆ ราวกับเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะรั้งใบหน้าขาวให้เข้ามาหาแล้วป้อนจุมพิตที่หน้าผากเหมือนเป็นรางวัลให้คนเก่ง
        
         และนั่นแหละ...
         ไม่ว่าจะทำอะไรแต่ถ้าทำกับคนคนนี้
         มันแสนจะคาดไม่ถึง ชวนตื่นเต้นและแสนจะอิสระ
         และตอนนี้เขาคงหลงใหลในสิ่งที่เขาไม่เคยมีจนหมดใจ...

         
          แทฮยอนมองบานหน้าต่างแคบอย่างเซ็งๆ เนื่องมาจากเขาไม่สามารถเปิดรับลมได้อย่างเคย แถมวิสัยทัศน์ในการมองเห็นยามค่ำคืนก็ยังย่ำแย่เพราะฝนที่กำลังตก เม็ดฝนกระหน่ำลงมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด นิ้วเรียวทาบลงกับกระจกบริเวณหยดน้ำฝนที่เกาะพราวลากไปตามร่องรอยของมันที่ไหลเป็นทาง
          เขาชะโงกมองไปยังด้านล่าง ในซอยที่เคยคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนวันนี้บางตากว่าเคย เขามองหาคนที่มักจะมายืนสูบบุหรี่มองกันอย่างทุกคืนแต่ไม่พบ
          คงเพราะฝนตก...
          เขารู้ว่างานที่อีกคนทำคืออะไรและพอเดาได้จากการที่ลากตัวคนอื่นออกมาซ้อมบ้างกระทืบบ้างอยู่ทุกวัน คนพวกนั้นติดหนี้ที่บ่อน การลงไม้ลงมือเป็นการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทวงเงินคืนให้กับบ่อน ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าที่คนเหล่านั้นติดหนี้จนหามาคืนไม่หมดก็เพราะกลโกงของพวกตัวเองทั้งนั้น
          อย่างที่อีกคนบอกทวงได้มาก กระทืบได้เยอะเงินที่ฝ่ายนั้นจะได้ก็เยอะตามไปด้วย เขาเห็นความรุนแรงพวกนั้นจนชินตาเพราะมันไม่ได้มีแค่บ่อนเดียวด้วยซ้ำในซอยนี้ แถมแต่ละบ่อนยังไม่ถูกกันเสียด้วยซ้ำ บางทีก็ชกกันเองระหว่างคนจากสองบ่อนก็มีให้เห็น
          เดาว่าเพราะฝนที่ตกกระหน่ำเขาถึงไม่เห็นวี่แววของคนที่เฝ้ารอ จนกระทั่งดวงตาไปสะดุดกับกลุ่มคนที่แบกร่างหนึ่งมาโยนไว้แล้วลงไม้ลงมือ เขาคุ้นตาว่าเป็นพวกของมินโฮแต่มีบางอย่างแปลกไป ปกติคนที่ต้องคุมลูกน้องวันนี้ไม่มาด้วยหรอกหรือ?
          แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อคนกลุ่มนั่นล่าถอยจากตัวคนรับแรงกระทำ ร่างที่นั่งเช็ดเลือดที่มุมปากอยู่บนพื้นเป็นใครที่เขาคุ้นเคยและเฝ้ารออยู่ สองมือยกขึ้นปิดปากแน่นด้วยความตกใจ มือเขาสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้ว่าพวกคนกระทำจะเดินหันหลังกลับไปแล้วแต่คนคนนั้นยังนั่งนิ่งอยู่กับพื้นอย่างหมดคราบ ฝนที่ตกกระหน่ำยิ่งทำให้ร่างสูงใหญ่ดูอ่อนแรง
          คิดได้ดังนั้นสิ่งที่ทำอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ คว้าร่มคันเก่าที่ได้รับมาแล้ววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายคือที่ใด คือสิ่งที่ชัดเจนอยู่ในสมอง
          เขาวิ่งลงบันไดตึกอย่างรวดเร็วไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น แต่ก็ยังระวังตัวไม่ให้คนของแม่ใหญ่เห็นได้ พวกพี่ในตึกไม่มีใครสนใจอยู่แล้วจะมีก็แต่คนคุมซ่องที่แม่ใหญ่จัดไว้ให้ดูแลเท่านั้นที่น่ากลัว แต่เขาก็ออกไปอย่างไม่ได้ชั่งใจสิ่งใดมาก และโชคดีที่ไม่มีใครมาขัดขวาง
          แทฮยอนหันซ้ายแลขวามองไปยังจุดที่อีกคนควรจะอยู่แต่ไม่มีแล้ว เขาเห็นแผ่นหลังกว้างท่ามกลางหยาดฝนเดินทุลักทุเลเชื่องช้าอยู่ไม่ไกล เขากางร่มแล้วสองขาก็พาวิ่งตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างไวที่สุด
          “คุณ...” เสียงเรียกแผ่วท่ามกลางสายฝนกระหน่ำพร้อมกับเงาร่มที่ปกคลุมร่างที่เปียกโชกไปด้วยน้ำและเจือจางไปด้วยเลือด คนคนนั้นหันมามองก่อนจะถาม
          “ออกมาทำไม?” เขาถามพลางเอาลิ้นดุนที่กระพุ้งแก้ม เดาว่าปากน่าจะแตก
          “ฝนตก.. คุณ..เปียก” เหตุผลแสนงี่เง่าที่คิดออกมีแค่นี้ ทั้งที่ความจริงเขากลัวอีกฝ่ายเจ็บตัวจนแทบบ้า
          “ฉันจะกลับแล้ว กลับไปซะ” มินโฮเอ่ยปากไล่ ทำไมเขาจะไม่รู้ กลางคืนแทฮยอนต้องอยู่ตึกเพราะมันมีเหตุผลของมัน
          “คุณเจ็บ” ร่างบางบอกเขา ยังเดินตามอีกคนที่เดินไปเรื่อย ทั้งที่ร่างของอีกฝ่ายเปียกโชกไปหมดแล้วแต่เขาก็ไม่อยากให้เปียกไปมากกว่านี้ เขากางร่มให้อีกคนจนบังทั้งกายโดยที่ตัวเขาเองเปียกไปครึ่งตัว
         
          มันยังไม่เท่ากันเลย
          มินโฮเปียกกว่าเขาไปหลายเท่า
         
          “ไม่มาก” ร่างหนาตอบอย่างไม่ยี่หระ เดินต่อทั้งที่มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้องแน่น จุกเสียดจากแรงกระแทก
          “ผมจะไปส่ง” แทฮยอนยืนยันสิ่งที่เขาต้องการจะทำ ดูท่าอีกฝ่ายจะเจ็บมากแต่ไม่ปริปากบอกสักคำ เขาไม่รู้ว่าต้องการรักษามากหรืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้รู้คือเขาห่วง “แค่อยากเดินไปเป็นเพื่อน..”
          “คนที่ตึกเธอจะมีใครมาแหกอกฉันหรือเปล่า?” มินโฮแสร้งถาม “ไม่อยากจะเจ็บตัวอีก รู้ใช่มั้ย?”
          “ผม เอ่อ... ไม่มี..” แทฮยอนจะปฎิเสธแต่ก็ไม่ได้เต็มปาก ตอนที่เขาออกมาก็รีบจนไม่ทันได้ระวังตัว
          “เอาเถอะ” เขาบอกอย่างขอไปที มีคนมากางร่มให้มันก็ดี “แม่งเอ้ย! บุหรี่เปียกหมดแล้ว” สบถอย่างหัวเสีย
          “มินิมาร์ทยังเปิดอยู่” ร่างบางไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอารมณ์เสียไปกว่าที่เป็นอยู่ แค่เจ็บตัวอีกฝ่ายก็หัวเสียมากพออยู่แล้วเขาดูออก และถึงแม้ว่าอยากจะรู้เหตุผลของมันมากแค่ไหนก็ทำได้แค่เก็บเอาไว้ก่อน ยังไม่กล้าถามหาสาเหตุของเรื่องราวรุนแรงที่เกิดขึ้น
          “ช่างมันเหอะ” มินโฮเสยผมเปียกโชกลวกๆ “ที่บ้านยังมีเหลือ”
          “คุณเดินไหวมั้ย?” เขาเห็นท่าทางกุมท้องเดินตัวงอแล้วพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจุกอยู่ไม่มากก็น้อย
          “พยุงหน่อยสิ” ร่างหนาพูดเสียงนิ่งคล้ายคำสั่งแต่เจือไปด้วยการร้องขอ
          แทฮยอนหันไปมองเสี้ยวหน้าหล่อที่มีร่องรอยการต่อสู้ประทับอยู่ให้เห็น นึกไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายจะเจ็บแค่ไหน เขาเคยแค่โดนตบทีสองทีก็เจ็บจนหลาบจำแล้ว นี่ดูมากกว่าการตบไปหลายเท่า นึกไม่ออกเลยว่าพรุ่งนี้มันจะบวมช้ำแค่ไหน มือข้างที่ว่างจากการถือร่มรั้งแขนล่ำพาดลงบนไหล่ พาร่างที่หนากว่าเดินไปท่ามกลางเม็ดฝนที่ยังโปรยปราย
          สุดท้ายทั้งคู่ก็เปียกพอพอกัน ร่มไม่ได้ช่วยให้เนื้อตัวปราศจากละอองฝนที่พัดมาตามลม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหนาวจนตัวสั่นกลับกันมันมีความอบอุ่นแปลกๆเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
          มือข้างหนึ่งยังประสานค้างกับมือสากที่พาดผ่านไหล่เขาเป็นหลักยึด เรากุมมือกันไปตลอดทางจนถึงบ้านหลังเล็กสองชั้นเก่าๆ ที่มีห้องนอนเพียงสองห้องนอน ซึ่งหนึ่งห้องเป็นที่พักของซงมินโฮ
          ร่างผอมลากประตูเหล็กเก่าๆ เปิดอย่างยากลำบากเพราะมันไม่เคยได้รับการดูแลจนสนิมเขรอะ เขาพาอีกคนเดินเข้าบ้าน มินโฮดูมีเรี่ยวแรงมากขึ้นจากที่เขาเจอตอนแรก คงเพราะอาการเจ็บทุเลาลงบ้างในตอนนี้และแน่นอนว่าอีกไม่นานมันคงปะทุขึ้นเนื่องจากอาการอักเสบ
          “จะเข้ามามั้ย?” เสียงเข้มถาม แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบอยู่แล้ว “เข้ามาสิ” เขาคว้าข้อมือบางก่อนดึงตัวให้ตามกันเข้าไป
          สองร่างเปียกปอนทิ้งร่มไว้ตรงทางเข้า ห้องโถงกลางบ้านที่คงเป็นห้องรับแขกขนาดเล็กไม่ได้มีใครสนใจหรืออยากจะใช้ พวกเขาเดินเลยผ่านไปเพื่อเข้าไปสู่ห้องส่วนตัวที่ไม่มีใครมายุ่มย่ามได้
          ถึงห้องมินโฮถอดเสื้อที่ใส่แล้วโยนไว้ที่หน้าประตูห้องน้ำ เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะความเจ็บเสียดบริเวณชายโครง มันไม่ได้เป็นอะไรหนักหรอกอย่างมากก็แค่ช้ำเพราะไอ้พวกนั้นยังยั้งมือยั้งตีนไว้
          เขาเหลือบมองคนตัวผอมที่ยังยืนอยู่หน้าประตูตอนที่คว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาหวังจะเช็ดหน้าตัวเองแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโยนให้คนคนนั้น แทฮยอนรับไว้อย่างงงๆ
          “ไปอาบน้ำก่อนสิ” คนที่โยนผ้าให้บอก พลางหยิบอีกผืนมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง
          “หืม?”
          “เดี๋ยวจะไม่สบาย” มินโฮบอก เขาหนวดตัวคอไปพลางเพราะความปวดหนึบ “เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าฉันไปก่อนคงไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
          แทฮยอนพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปตามคำบอก เขาปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลผ่านกายอย่างเอื่อยเฉื่อย ปล่อยตัวทอดอารมณ์ไปตามความผ่อนคลายที่ได้รับจากสายน้ำ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มาห้องของอีกฝ่ายแต่จะกี่ครั้งเขาก็ยังประหม่า ไม่ใช่แค่มาห้องนี้หรอก ทุกครั้งที่สบตาเขาก็ยังเหมือนจะทนได้ไม่นานกับจังหวะหัวใจที่เน้นหนักขึ้นจนต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสมอ
         ก๊อก ก๊อก...
          แทฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงเคาะประตูพาให้หลุดจากภวังค์ เขาปิดน้ำคว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างก่อนจะค่อยแง้มประตูโผล่หน้าออกไปมอง
          “ใส่ซะ เธอคงไม่อยากออกมาใส่ข้างนอกหรอก จริงมั้ย?” ร่างผอมเอื้อมมือไปรับไว้ก่อนค่อมหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
          เพียงไม่นานเขาก็ใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่อีกฝ่ายหามาให้กับกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นที่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ไซส์ของอีกฝ่าย
          “ฉันซื้อมาผิดแต่เธอดูจะใส่ได้พอดี” เจ้าของชุดพยักเพยิดไปที่กางเกง แทฮยอนพยักหน้ารับ บ๊อกเซอร์มันพอดีก็จริงแต่ก็หวิวไม่น้อยเพราะเขาไม่มีชั้นในอะไรเลย ไม่นับเสื้อที่ตัวใหญ่จนไหล่ตก
          “คุณควรไปอาบน้ำ” แทฮยอนบอกพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ เขาเห็นเลือดที่มุมปากยังซึม ปลายนิ้วหัวแม่มือเผลอซับลงที่บริเวณนั้นอย่างเบาแรง
          “มีเครื่องอบผ้าอยู่ในครัว เอาเสื้อผ้าไปซักสิ ไม่นานคงแห้ง” เจ้าของบ้านบอก ดวงตาคมจ้องมองร่างนั้นไม่ได้พัก แทฮยอนน่ามองทั้งที่ท่าทางของอีกฝ่ายไม่เคยมีความมั่นใจใดๆ เลยก็ตาม
          ร่างผอมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปเอาเสื้อผ้าเปียกในห้องน้ำก่อนที่อีกคนจะเข้าไปอาบน้ำบ้าง ไม่วายตอนที่เดินสวนกันมินโฮก็รั้งคอร่างบางเข้ามาใกล้ก่อนกดจูบลงที่ปากสีอ่อนอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้เหตุผล ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก ณ ตอนนั้น

          เขาอยากจูบเขาก็จูบ

          มันก็แค่จูบเน้นๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ถือเสียว่ามอบให้แทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์เดินตากฝนมาส่งถึงที่และอีกฝ่ายก็ไม่เคยแสดงท่าทางขัดขืนอะไร มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังตอบสนองด้วยการกดจูบลงที่มุมปากช้ำของเขาแผ่วเบาราวกับอยากจะปลอบโยน  
          “คุณ...ควรไปอาบน้ำ” แทฮยอนผละห่างก่อนจะก้มหน้าบอก ถึงแม้ว่าการจูบกันจะเป็นเรื่องปกติระหว่างเราแต่เขาไม่ได้คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้จนช่ำชองอย่างใครในตึกเดียวกัน เขาถูกเก็บไว้เพื่อรอวันเชือดเหมือนหมูตัวหนึ่งที่ถูกขุนจนพอดีแล้วขายเนื้อ ทุกครั้งที่เกิดขึ้นมันจึงทำให้อดไม่ได้ที่จะขัดเขิน
         
          แต่เพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนสอนทั้งหมด
          จูบแรกของเขาก็เป็นของคนคนนี้
         
          แต่ความสัมพันธ์ของเราคืออะไรเขาก็ไม่อาจนิยามอยู่ดี..


         
          “อะไร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำเมื่อเห็นว่าร่างผอมบางกำลังจัดการข้าวของบางอย่างอยู่บนที่นอนเขา แทฮยอนนั่งอยู่ที่ขอบฟูก ของบางอย่างถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบรอการใช้ไว้ข้างตัว
          “ผมเจอตอนลงไปซักผ้า” แทฮยอนบอกเสียงแผ่วเพราะเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้เขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นการตำหนิหรือแค่ถามเพราะมันห้วนจนตกใจ “มีกล่องยาอยู่ที่ตู้ตรงบันได คุณควรทำแผล”
          “มันนานแล้ว” มินโฮตอบพลางเช็ดผมที่เปียกชื้น เขาใส่แค่กางเกงนอนขายาวเพียงตัวเดียวเพราะอย่างนั้นทันทีที่แทฮยอนเงยหน้ามองก็ก้มลงแสร้งค้นหาของในกล่องต่อ “ไม่เคยได้ใช้”
          “ผมดูแล้ว ยังพอมีอันที่ใช้ได้” คนตัวขาวบอก เขาดูวันหมดอายุจนครบหมดทุกยา ทั้งยากินยาทาพบว่าของที่มีพอจะทำแผลได้ ทั้งแอลกอฮอล์ ยาทาแก้ช้ำ และยาทาแผลสดยังใช้ได้อยู่ แถมยาแก้อักเสบก็ยังกินได้เพราะไม่หมดอายุ
          มินโฮทรุดตัวลงนั่งที่ฟูกนอนข้างๆ กัน เขามองท่าทางเก้ๆ กังๆ ของคนที่บอกจะช่วยทำแผลอย่างนึกเอ็นดู ดูก็รู้ว่ากำลังประหม่าแค่ไหน ไอ้อาการกระพริบตาถี่แบบนี้ของเจ้าตัวมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีความใกล้ชิดระหว่างเรา
          “จะทำแผลไม่ใช่หรือไง?” ร่างหนาพูดในขณะที่ดึงผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงลำคอออกไปเผยมัดกล้ามและหน้าอกแกร่งจนเต็มตา เพียงเท่านั้นแทฮยอนก็เบือนหน้าหนี “เอาสิ”
          “คุณ...เอ่อ..” ร่างผอมอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะทำตัวไม่ถูกเสียแล้วแต่มือก็ยังถือสำลีชุบด้วยแอลกอฮอล์ไว้อย่างเตรียมพร้อม เขาแตะลงที่หางคิ้วเข้มเป็นที่แรกเพราะมันมีเลือดซิบอยู่เล็กน้อย ตามด้วยตรงโหนกแก้มที่เหมือนจะโดนชกจนแตก
          แทฮยอนรู้ตัวว่าโดนจ้องอยู่ไม่ละ เขาจึงพยายามเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับการทำแผลให้อีกคนให้ได้ พยายามควบคุมลมหายใจที่ติดขัดจากความใกล้ชิด ควบคุมใบหน้าสีหน้าไม่ให้ประหม่าจนอีกคนจับสังเกตได้ แต่ยากเหลือเกิน
          “ซี้ด” คนเป็นแผลซูดปากด้วยความแสบ ตอนโดนน้ำยังพอทนแต่พอเป็นแอลกอฮอล์แล้วอยากจะกลับไปอาบน้ำอีกสักรอบ มันแสบยุบยิบน่ารำคาญชะมัด!
          ร่างผอมปิดท้ายการทำแผลสดด้วยการป้ายยาให้อย่างระมัดระวัง ที่หางคิ้วถูกแปะด้วยพลาสเตอร์ยาให้อย่างเรียบร้อย หลังจากนั้นมือขาวข้างหนึ่งเปิดหลอดยาทาแก้ช้ำออกแรงบีบป้ายลงที่ปลายนิ้วมืออีกข้าง แล้วก็ถูกคนตัวโตกว่ารั้งไปแนบตรงกลางอก “ตรงนี้ช้ำ”
          เพียงเท่านั้นสีหน้าที่อุตส่าห์พยายามเก็บมาก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ เขารู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนไปทั่วจนถึงใบหู ปลายนิ้วที่สัมผัสอยู่ที่หน้าอกอีกฝ่ายยังไม่ขยับไปไหนเพราะนิ่งอึ้ง จะทำอะไรก็ยังเกร็งไปหมดอยู่ดี ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคน
          จนกระทั่งลมอุ่นๆ ถูกเป่าที่ข้างใบหู “หูแดงรู้ตัวมั้ย?”
          “เจ็บมั้ยครับ?” คนถูกถามแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วป้ายยาที่บริเวณที่ขึ้นรอยช้ำต่อเพื่อกลบความขลาดเขิน ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายจูบเบาๆ ที่ใบหูเขายิ่งทำตัวไม่ถูก
          คนทำไม่รู้หรอกว่าอะไรดลใจให้ทำเพียงแต่นึกเอ็นดูตอนที่เห็นคนผิวขาวซีดขึ้นสีระเรื่อไปทั่ววงหน้าและแดงก่ำไปทั้งใบหู กลิ่นหอมจากสบู่จากก้อนเดียวกันยิ่งขับให้เขาอยากดอมดมให้ได้กลิ่นมากยิ่งขึ้น ยิ่งเห็นไหล่ขาวกับแผ่นอกแบนเรียบใต้เสื้อยืดตัวใหญ่ ยิ่งทำให้เขาอยากเข้าใกล้
          “ไกลหัวใจ พวกนั้นมันยั้งมือไว้” เขาตอบสิ่งที่อีกคนถามเบี่ยงความสนใจ เขาเอี้ยวตัวควานหาบุหรี่กับไลท์เตอร์ที่ลิ้นชักเตี้ยใกล้หัวเตียง
          “คุณไปทำอะไร..ทำไมถึงโดน..เอ่อ..” แทฮยอนหลุดถามเพราะรอยแผลที่เขาพบตามตัวอีกคนมันเยอะพอสมควร ทว่าพอนึกได้เขาก็ชะงักไปทั้งตัว มือที่กำลังทายาบริเวณหัวไหล่หยุดชะงัก “ขอ..โทษ..”
          “หึ” มินโฮหัวเราะในลำคอก่อนส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงว่าถามได้ เขาตอบคำถามได้แต่ก็ยอมรับว่าพูดถึงมันแล้วก็หงุดหงิดใจนิดหน่อย “ฉันโกงเงินไปโต๊ะ โดนจับได้เลยโดนสั่งสอนนิดหน่อย”
          แทฮยอนทำตัวไม่ถูกตอนที่ได้รับคำตอบแม้ว่าอีกคนจะพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร พูดราวกับมันเป็นเรื่องปกติ คนตัวสูงคาบบุหรี่ไว้ที่ปากก่อนจุดสูบ
          “เปิดหน้าต่างหน่อยมั้ยครับ?” ร่างผอมตั้งท่าจะลุกไปเปิดหน้าต่างให้เพื่อระบายอากาศ แต่โดนรั้งไว้เสียก่อน
          “มวนเดียว ช่างมันเหอะ” เขาหลังจากที่ปล่อยควันครั้งแรกออกมาจนสุดลม มือเรียวจึงลงมือทายาให้ต่อเงียบๆ เขาไม่ได้มีอะไรอยากถามหรืออยากรู้อีกแล้วเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่อีกคนอยากจะพูด ทว่าดูเหมือนว่ายามันจะไม่ซึมเข้าผิวเนื้อดีเนื่องมาจากอีกคนยังเช็ดตัวได้ไม่แห้งสนิท เขาจึงตัดสินใจหยิบเอาผ้าขนหนูมาซับหยดน้ำที่ยังเกาะอยู่บนร่างกายกำยำช้าๆ
          “อ้ะ!” ใบหน้าขาวถูกเชยขึ้นก่อนป้อนควันขมเข้าปากอย่างที่มักจะทำร่วมกัน ฝ่ายนั้นพ่นให้อย่างอ้อยอิ่ง แทฮยอนตอบสนองอย่างเคยชิน ร่างหนาลืมตามองใบหน้านวลที่อยู่ใกล้อย่างสังเกต ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบหน้าของคนคนนี้ติดอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา ใบหน้าหวานๆ กับนัยน์ตาโศกมันน่ามองเสียจนเขาหยุดไม่ได้ที่จะจ้องทุกครั้งที่มีโอกาส
          “สูบหลังอาบน้ำจะรู้สึกดีกว่าปกติ” เขาบอกตอนที่ผละออกและเห็นว่าอีกคนปล่อยควันออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย “อยากให้ลองดู”
          แทฮยอนพยักหน้าตอบรับไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกดีของการที่ได้ปล่อยให้ควันพิษนี้ไหลผ่านลำคอคืออะไร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือเขารู้สึกดีทุกครั้งที่เป็นคนคนนี้แบ่งปันมันมา มือเรียวกำผ้าขนหนูซับไปทั่วแผ่นอกแข็ง ไหล่ ไปจนถึงลำแขนทั้งสองข้าง ฝ่ายนั้นนั่งสูบบุหรี่ที่เหลืออย่างสบายอารมณ์ ร่างผอมไม่รู้หรอกว่าทำไมคนที่เพิ่งจะโดนซ้อมมาถึงได้ทำตัวได้ปกติถึงขนาดนี้แต่มันคงเป็นความเคยชินของอีกคนไปแล้ว เขาเดา
          แทฮยอนไล่เช็ดไปเรื่อยเพื่อให้มันแห้งพอจะทายาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาเกร็งอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ทำให้อย่างดี ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เผลอไผลเช็ดเรื่อยไปถึงหน้าท้องลงต่ำไปถึงขอบกางเกงอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็คือมือของเขาไม่ได้ถือผ้าขนหนูอยู่แล้วแต่กำลังสัมผัสรอยช้ำเขียวม่วงอย่างน่ากลัวเหนือขอบกางเกงอยู่นิดเดียว เขาลูบมันอย่างเผลอตัวด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจนิยามได้ เป็นความสงสารคงไม่ใช่แต่ถ้าทำได้เขาอยากแบ่งความเจ็บตัวในวันนี้จากอีกคนมาบ้าง ทำไมจะไม่รู้ว่าเจ็บแต่อีกฝ่ายแสร้งตีหน้านิ่งได้เก่งเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว
          มินโฮเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกคนที่ก้มหน้างุด เขาทาบหน้าผากไปกับหัวทุยคลอเคลียอย่างอดไม่ได้ มือข้างหนึ่งจับล้อกมือซุกซนที่วางทาบอยู่ตรงหน้าท้องแข็ง มืออีกข้างวางทาบบนใบหน้าขาว เกลี่ยนิ้วหัวแม่มือที่แก้มเนียน
          “ไม่กลับตึกใช่มั้ย?” เขากระซิบถามและได้คำตอบเป็นการพยักหน้าเพื่อตอบรับ มินโฮช้อนใบหน้าขาวให้เงยขึ้นสบตา จมูกโด่งคลอเคลียที่หน้าผากเกลี้ยงเกลา เขารั้งมือที่ทาบอยู่ตรงหน้าท้องให้ยกขึ้นมาแนบที่ใบหน้าเขา ลากปลายจมูกสัมผัสไปทั่ววงหน้า ไล้วนอยู่ที่ข้างแก้มจนเคลิบเคลิ้มไปด้วยกัน
          ร่างหนาวางจมูกไว้กลางหว่างคิ้วลากลงผ่านสันจมูก แทฮยอนปิดตาเพราะความใกล้ชิดในขณะที่อีกคนมองสำรวจไปทั่ว ผิวขาวๆ ยิ่งกระตุ้นให้เขาสัมผัสมากขึ้น เขากดจูบลงที่ไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อกว้าง เอียงหน้าจูบต้นคอขาวโดยมีเจ้าขอลำคอระหงเงยหน้าเปิดทาง จูบเรื่อยไปถึงปลายคางมนก่อนจูบซับที่มุมปาก ก่อนผละออกนิดหน่อยเพื่อมองหน้ากัน
         
          เรามองกัน...
          และวันนี้มันชัดเจนที่สุดจากทั้งหมดที่เคยมองมา

          การพยักหน้ารับคำถามเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรจากคำตอบของเรื่องราวต่อไปที่จะเกิดขึ้น ครู่หนึ่งที่มองกันนิ่งเป็นเวลาให้ชั่งใจและแน่นอนว่าตาชั่งฝั่งความโหยหาปรารถนาหนักเสียจนไม่ต้องเสียเวลาคิดชั่งอีกต่อไป
          ริมฝีปากหยักเคลื่อนจูบเข้าหาเน้นหนักๆ ที่ปากบนก่อนสอดลิ้นควานหาความชุ่มช่ำภายใน เขาซึมซับรสจูบที่สอนมากับมืออย่างไม่รู้ตัว

          ไม่เคยรู้ว่ามีเพียงตนที่เคยได้รับจูบเช่นนี้

          ในขณะเดียวกันแทฮยอนหลงอยู่ในวังวนของความช่ำชองจากอีกคน เขาตั้งสติไม่ทันเพราะมันรวดเร็วจนเคลิ้มตกในสัญชาตญาณ แต่นั่นก็เพราะว่าเป็นคนคนนี้เขาถึงกล้าที่จะเสี่ยงอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าหนทางข้างหน้ามันคงไม่ง่ายเลยถ้ายอมให้มันเกิดขึ้น
          มินโฮคลอเคลียแทฮยอนไม่ห่างเขาลูบไล้ผิวเนียนลื่นมือผ่านเนื้อผ้า แทฮยอนสะดุ้งไปทุกจุดที่ร่างหนาลากผ่าน เขาไม่มีสติอีกแล้ว ไม่รู้แม้กระทั่งร่างของตัวเองเปล่าเปลือยไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีคือตอนที่หลังเปลือยของเขาแนบไปกับเตียง
          “อื้อ!” แทฮยอนร้องเสียงหลงตอนที่ถูกดันข้อเท้าให้ตั้งชันแล้วถูกสัมผัสที่ร่องสะโพก เข่าข้างหนึ่งเผลอยืดจนชนกับหน้าท้องแข็งจนคนที่มีร่องรอยแผลอยู่แล้วนิ่วหน้า “ขอ..โทษ คุณเจ็บ”
          ร่างผอมไม่พูดเปล่าพลิกตัวหันหนีเหมือนกับว่าจะหยุดการกระทำทั้งหมดด้วยความรู้สึกผิดที่ไปซ้ำเติมความเจ็บทางกายให้อีกคน แต่ก็ถูกอีกคนพลิกกลับมาให้เผชิญหน้า ฝ่ายนั้นแทรกตัวอยู่ระหว่างขาเรียวกดจูบลงที่หน้าอกบางจนร่างผอมครางฮือในลำคอ เชิดหน้ารับสัมผัสที่ลุกลามมาถึงลำคอ มินโฮจูบเน้นอยู่ตรงนั้นก่อนจะหยัดตัวขึ้นเสมอกัน มองใบหน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อพร้อมกับแววตาเป็นห่วงเป็นใยจนสังเกตได้ เขาตั้งศอกข้างหนึ่งไว้กับพื้นเตียงในขณะที่มืออีกข้างปัดไรผมที่ปรกหน้าผากของอีกคน เกลี่ยทัดใบหูอย่างแผ่วเบา ไล้หลังมืออยู่ข้างขมับก่อนลูบที่ข้างแก้มขาวอย่างที่ชอบทำ
          “มัน..ช้ำ” แทฮยอนบอกเสียงสั่น เขาจับไปที่หัวไหล่แข็ง ลูบไปตามต้นแขนที่ขึ้นรอยคล้ำช้ำม่วงให้ได้เห็น เขาเห็นรอยช้ำเต็มไปหมดจนอดจะห่วงไม่ได้ “คุณ..เจ็บมั้ย?”
          “หึ” เขาปฏิเสธในลำคอ พลางมองสายตาที่สำรวจไปทั่วร่องรอยความรุนแรงบนร่างเขา บอกตามตรงว่าไอ้แววตาแสดงความสงสารรวดร้าวเจ็บปวดแทนนั่นทำให้เขาอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ ร่างหนาตัดสินใจผละตัวลุกขึ้นเพื่อทำบางอย่าง
          เขาเดินไปปิดไฟจนทั้งห้องมืดสลัวมีเพียงแสงไฟจากภายนอกฉายเข้ามาให้ได้มองเห็นกันเลือนราง ที่ทำเพื่อปกปิดรอยช้ำของตัวเองให้พ้นสายตาจากคนขี้สงสารแล้วก็ปิดแววตาสงสารที่เขาไม่อยากมองเพราะมันมีอิทธิพลแปลกๆ ในความรู้สึก
          แทฮยอนนอนนิ่งอยู่บนฟูกเขาเห็นร่างอีกคนในความมืดเดินกลับมาพร้อมกับยืนถอดกางเกงแล้วโถมตัวลงบนร่างเขา ฝ่ายนั้นกดจูบที่ข้างแก้มแล้วกระซิบบอก “อย่างงี้จะได้ไม่ต้องมาห่วงรอยห่าเหวอะไรบนตัวฉัน”
          สัดส่วนที่สัมผัสกันท่ามกลางความมืดให้ความรู้สึกวูบวาบปานจะขาดใจ แทฮยอนรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นไปกับทุกสัมผัสที่โดนตัวยิ่งกว่าตอนที่มองเห็นชัดๆ ไม่ว่าจะหนักหรือเบาร่างผอมรู้สึกถึงมันได้เร็วและตอบสนองไวไปหมด
          มือสากร้อนลูบไล้ตั้งแต่อกแบนเรียบหยอกล้อยอดอกข้างหนึ่งด้วยปลายนิ้วก่อนไต่ไปจนถึงแอ่งเล็กๆ กลางหน้าท้อง เขาก้มลงเลียที่จุดนั้นก่อนจูบซับลงเรื่อยๆจ นถึงสัดส่วนในที่ลับ แม้มองไม่เห็นแต่มินโฮสัมผัสมันได้อย่างถูกจุด เขาจัดการส่วนนั้นด้วยริมฝีปาก ความชื้นกับปลายลิ้นที่แตะโดนทำเอาร่างข้างใต้บิดเร่าเปล่งเสียงครางเครืออึกอื้อในลำคอ ร่างหนาอดไม่ได้ที่จะบีบเน้นเรียวขาทั้งสองข้างไปด้วยเพราะมันใกล้มือ ลูบไล้ถึงข้อเท้าดันขาข้างหนึ่งให้ตั้งชันก่อนพาดไว้บนไหล่พร้อมด้วยปากที่ยังทำหน้าที่ได้ดี
          สะโพกกลมกลึงเปิดเปลือยช่องทางให้ง่ายต่อการสัมผัสด้วยท่วงท่าที่อีกฝ่ายจัดการ คนช่ำชองสอดมือเข้าไปใต้ร่องสะโพกที่เบียดชิด ส่งนิ้วหยอกล้อคลึงเน้นเพื่อผ่อนคลาย ปากร้อนดูดดุนที่ส่วนปลายจนคนอ่อนเดียงสากระตุกเกร็งแล้วปลดปล่อยตัวเองเป็นครั้งแรก
          “ฮื้อ.. ฮ้า” ใบหน้าหวานเงยเชิด สมองขาวโพลน ดวงตาสวยปิดแน่นเกร็งไปทั้งร่างเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเคยไปถึงจุดสูงสุดด้วยการเล้าโลมของคนอื่น มันวาบหวามกว่า ถึงใจกว่า“อย่า..อื้อ สก.ปรก”
          เขาร้องห้ามเสียงดังตอนที่ฝ่ายนั้นใช้ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดเอาสิ่งที่เขาปล่อยออกมาเข้าปาก เขาถดตัวหนีอย่างขลาดอาย
          มินโฮหยัดตัวขึ้นบีบปากบางก่อนมอบจูบที่คละคลุ้งไปด้วยสิ่งนั้นป้อนเข้าปากอีกคนให้ได้ชิมรสชาติของตัวเอง พลางกระซิบที่ใบหู “ดีจะตาย”
          รสชาติแปร่งปร่าในโพรงปากไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่กลับกันมันทำให้อารมณ์ปรารถนาหวนคืนมาอย่างง่ายดาย มินโฮดูดดุนยอดอกแข็งชันข้างหนึ่งก่อนขบเบาๆ ให้รู้สึก ปลายลิ้นละเลงไปทั่วอกบาง เขาอดจะนึกเอ็นดูความรวดเร็วของอารมณ์อีกคนไม่ได้ มันเกิดขึ้นเร็วแถมยังถึงเร็วจนเขาแปลกใจราวกับเป็นครั้งแรก

          คิดอะไรอย่างนั้น...
          อย่างไรแทฮยอนก็คือคนตึกนั้น

          เขาไม่ได้ประวิงเวลาเล้าโลมจนเกินพอดีในเมื่อความกระหายอยากของเขามันก็ไม่ได้อดใจได้นาน ยิ่งกลิ่นหอมๆ จากอีกคนมันยั่วยวนเสียขนาดนี้ เขาคลึงปลายนิ้วกดเน้นที่ช่องทางปิดแน่นก่อนพยายามดันเข้าไปเปิดทางเพียงครึ่งข้อร่างผอมบนเตียวก็ผวาเฮือก
          “อึก อ่าาา” เอวบางบิดพล่านเพราะความเจ็บจุกที่เบียดเข้ามา เขาตอบรับการรุกรานด้วยการเกร็งต้านอย่างที่สุด มันแปลกปลอมและเย็นชืดจนขนลุก
          “ชู่ว.. อย่างเกร็ง” เขายืดตัวไปหาก่อนแตะมือข้างหนึ่งลงที่ริมฝีปากบวมเจ่อ คลึงเกลี่ยเบาๆ เป็นการปลอบประโลม นิ้วที่ยังค้างอยู่ในกายร่างข้างใต้ให้ความรู้สึกประหลาดจนอดสงสัยไม่ได้
         
          แน่นเกินไป...
          ปฏิกิริยาที่ตอบรับล้วนแปลกประหลาด
          จนอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าไม่เคย
         
          “เบ..า ฮึก เบาๆ” เสียงหวานร้องขอทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เขามองร่างที่นอนหลับตาแน่นผ่านความมืดด้วยความสงสัยก่อนตัดสินใจดันนิ้วเปิดทางจนสุดโคนนิ้ว หมุนวนอยู่ภายในหวังบรรเทาความแน่นสนิท เบียดนิ้วลงตรงจุดที่โดนแล้วอีกฝ่ายอึกอักในลำคอตัวสั่นบิดเอวพล่าน ขยี้ซ้ำๆ ให้อีกคนคล้อยตามไปกับมัน ทว่าไม่ได้มีแค่คนถูกกระทำที่ทรมานความคับแน่นทำเขาคลั่ง ความรู้สึกที่ตอบสนองปลายนิ้วสร้างความรู้สึกกระหายจนกึ่งกลางลำตัวแข็งจนปวดหนึบ เขาพยายามทนอย่างถึงที่สุดแล้ว
          มินโฮถอนนิ้วออกเอื้อมตัวขึ้นเหนือร่างบางเปิดลิ้นชักข้างๆ หัวนอนควานหาสิ่งของจำเป็นแล้วฉีกออกด้วยริมฝีปาก
          เสียงซองฟลอยเรียกสติคนที่นอนหอบหายใจให้ลืมตามองท่ามกลางความมืด กว่าจะปรับสายตาให้เข้ากับแสงในความมืดก็ตอนที่สัดส่วนเปียกลื่นจ่ออยู่ที่ร่องสะโพก         
          แทฮยอนผวาไปทั้งร่างตอนที่ฝ่ายนั้นถูไถหยอกล้อพลางบีบต้นขารั้งข้อพับดันเข่ายกสะโพกให้ลอยเด่น มินโฮมองร่างข้างใต้ที่กำลังปรือตามองมาที่เขาเช่นกัน ความรู้สึกมากมายหลายอย่างตีกันรวนอยู่ในสมองจนไม่อยากคิด เขาจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่กระจุกรวมที่กลางลำตัวก่อนจะส่งมันเข้าหาความอ่อนนุ่มเพื่อกระตุ้นให้ถึงจุด
          ทว่าเพียงแค่ดันตัวเข้าไปได้ไม่ถึงไหนเขาก็ต้องหยุด คำถามมากมายกลับตีฟุ้งอยู่ในหัวอีกครั้ง “ไม่เคยใช่มั้ย? ครั้งแรกจริงๆ สินะ?”
          “อึก...” แทฮยอนอึกอักในลำคออย่างน่าสงสารเขาเห็นหยาดน้ำตาซึมออกที่หางตาพร้อมกับการพยักหน้ารับคำตอบอย่างเชื่องช้า แล้วใบหน้าหวานก็เอนซบไปกับหมอน มือสองข้างจับปลายหมอนแน่น กัดริมฝีปากจนช้ำ
          หลากหลายความรู้สึกตีรวนในความคิด ความเสียดซ่านที่โถมเข้าหาไม่หยุดเพราะผลจากการเป็นคนแรกทำให้สุขสมเต็มที่ทั้งที่ยังเข้าไปไม่เต็มตัวด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกหัวเสียที่มีก็ตีตื้นขึ้นมาไม่ได้ต่างกัน “แม่งเอ้ย!
          ทำไมเขาจะไม่รู้เด็กขายที่ตึกประมูลความบริสุทธิ์กันเป็นอาชีพ แม่เล้านั่นโก่งราคาเด็กซิงอย่างกับอะไรดี ไอ้พวกนักเลงปลายแถวเงินน้อยอย่างเขาไม่เคยได้สัมผัสหรอกแต่คนคนนี้กำลังเอามันมาให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องมีเงินมากขนาดนั้นไปแลกความสุขแค่ชั่วข้ามคืน
          ระหว่างเรามันลึกซึ้งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายพร้อมจะมอบมันให้เขาง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ทว่าไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากมายแล้ว เขาไม่ใช่คนดีตั้งแต่แรกที่สานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมาก็ยอมรับว่าหวังมาโดยตลอดเพียงแต่จังหวะเหมาะอย่างนี้มันพึ่งมาถึงเพราะฉะนั้นเขาคงไม่หยุดเพียงเพราะได้เปิดบริสุทธิ์เด็กตึกนั้น เขาจะนับว่ามันเป็นกำไรของเขา...

          เขาไม่รู้แทฮยอนกำลังคิดอะไร
          แต่ถึงอย่างไร...
          เขาก็ไม่ใช่คนดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว    
         
         “ฉันไม่หยุดรู้ใช่มั้ย?” เสียงทุ้มแหบพร่าพูดขึ้นเหมือนเตือนสติ เตือนทั้งตัวเองและคนที่อยู่ใต้ร่าง แสงนวลสลัวจากภายนอกลอดเข้ามาฉาบใบหน้าหวานที่กำลังทอดสายตาฉ่ำเยิ้มมองเขาอย่างปรารถนา เขาจะถือว่ามันเป็นคำตอบรับจากอีกคนก็แล้วกัน
          “อ๊าาาา ฮ่าา อ่าาาา” มินโฮดันเข้าไปสุดตัวในคราวเดียว แนบชิดจนปวดหนึบ ร่างผอมบิดเร่าด้วยความทรมาน เสียดจุกอยู่ในท้องจนน้ำตาไหล สองมือจิกปลายหมอนแน่น อ้าปากร้องครางอย่างไม่รู้ตัว แทฮยอนรับรู้ถึงตัวตนร้อนผ่าวที่แทรกอยู่ในร่างอย่างชัดเจน ร้อนเหมือนมีคนเอาแท่งฝืนมาวางนาบ อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
          ร่างหนาโน้มลงกอดทั้งร่างบางจนกายแนบชิดสนิทกันไปทุกส่วน แทฮยอนปรือตามองคนที่กดจูบลงบนหน้าผาก ปลอบประโลมเขาด้วยจุมพิตแผ่วเบาที่เปลือกตา กักร่างเขาไว้ในอ้อมแขนแล้วสบตากันตอนที่ขยับตัว มันเนิบนาบเน้นทุกสัมผัส เข้าออกยากเพราะความคับแน่นเกินพอดี
          “ผ่อนหน่อยแทฮยอน” มินโฮบอกเพราะมันไม่ได้มีแค่คนข้างใต้หรอกที่เจ็บจากความคับแน่นแต่เขาเองก็เหมือนกัน ร่างผอมบีบรัดแน่นเสียจนเขาหายใจแทบไม่ออก แค่ครึ่งส่วนที่เข้าไปตอนแรกเขาก็รู้สึกเหมือนโดนบีบรัดไปทั้งตัว ถ้ายังเนิบนาบอยู่แบบนี้เขาคงได้ปล่อยทั้งที่ไม่ได้ขยับไปไหน
          “อ่าาา ไม่..ไหว อึก..เจ็บ” แทฮยอนร้องห้ามตอนที่อีกคนเริ่มรุนแรงขึ้น ความรวดเร็วของการขยับโดยไม่ปราณีส่งผลให้เจ็บอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเจ็บทั้งเสียดแต่ก็เสียวซ่าน ความลื่นจากสารหล่อลื่นของถุงยางอนามัยช่วยให้มันง่ายขึ้นแม้จะนิดหน่อยก็ตาม
          แทฮยอนส่ายหน้าไปมาจนผมกระจายฟุ้งเต็มหมอนเมื่ออีกฝ่ายช้าลงตามคำขอร้องแต่ทว่ามันสร้างความทรมานให้คนรองรับจนทนไม่ไหว ความเจ็บเจือจางหายไปแล้วความซ่านเสียวเข้ามาแทนที่หลังจากคนบนร่างจับจุดได้ ความเสียดสีที่ปากทางร้อนผ่าวจากข้างในออกมาข้างนอก ร่างหนาสอดกายเข้าลึกสุดก่อนดึงออกจนสุดทำอย่างนี้ซ้ำๆ จนคนนอนรองรับวูบโหวงในท้องน้อย
          มินโฮหยัดกายเต็มความสูง เขาลากสะโพกหนั่นแน่นแนบลงกับหน้าตัก ดันหัวเข่าให้อ้ากว้างจนขาลอย สอดตัวเข้าไปอีกครั้งสุดตัวเรียกเสียงคราวหวีดหวิวจากคนรองรับได้เป็นอย่างดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นอย่างน่าอาย แทฮยอนเหงื่อผุดซึมไปทั่วใบหน้า ร่างทั้งร่างโยกคลอนตามแรงกระทำ ในหัวว่างเปล่า ในท้องเหมือนมีฝูงแมลงบินวนไม่หยุดหย่อน เขาเสียวจนปล่อยออกมาอีกครั้งทั้งที่ไม่โดนแตะเลยแม้แต่นิด ร่างทั้งร่างกระตุกเกร็งจนมินโฮเร่งจังหวะอย่างช่วยไม่ได้
          เสียงร้องหวานหูดังขึ้นทุกครั้งที่คนด้านบนชำเรารักด้วยแรงกระทบเข้าออก แทฮยอนบิดพล่านไปทั้งร่าง เผลอแอ่นสะโพกรับอย่างไม่อายเมื่อความสุขสมเข้าครอบงำ เผลอคิดไปถึงคำพูดของพี่คนหนึ่งที่ตึก เมื่อนานมาแล้วและตอนนั้นไม่คิดทำความเข้าใจ
                   
         “จะบอกให้นะ เต็มใจกับแลกเงินมันต่างกัน มันสุขกว่า อิ่มเอมกว่า มันมีความรู้สึก”

         เขาไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่าเพราะยังไม่เคยได้ขาย ได้เปรียบเทียบ แต่การได้เป็นของคนคนนี้ มันสุขจริงๆ อิ่มเอมจริงๆ และมันเต็มไปด้วยความรู้สึกจนตัวเขาไม่อยากห่างไปจากอ้อมกอดนี้แม้ว่ามันจะเจ็บหรือทรมานแค่ไหนตอนเริ่มแรก

          เขาเสี่ยงไปแล้ว
          เขาให้ไปแล้ว...
          หวังว่ามันจะมีค่าสำหรับคนที่ได้รับ
          เหมือนที่มันมีความหมายมากมายสำหรับเขา

          “อื้ม” มินโฮขบฟันกรอด ครางต่ำในลำคอเมื่อเขากระแทกกายซ้ำถี่และกำลังจะถึงจุด แทฮยอนถูกกระตุ้นด้วยความเสียวกระสันจากความร้อนระอุของอีกคน มินโฮค้างกายถอยออกก่อนย้ำเข้าเนิบนาบ หมุนควงสะโพกสอบเน้นน้ำหนักลงเต็มแรง อัดกายเติมเต็มกันและกันจนสุดทาง เขาโถมกายลงกอดร่างผอมพร้อมพรมจูบไปที่ลำคอ แทฮยอนกอดตอบ จิกมือลงหลังอีกคนเมื่อรับแรงกระตุกเกร็งและความร้อนจากเครื่องป้องกันที่ส่วนปลายขยายออก
          “อ๊าาา” คนใต้ร่างเผลอหลุดเสียงครางกระเส่าตอนที่อีกฝ่ายชักตัวออก มินโฮรูดเครื่องป้องกันออกแล้วโยนลงข้างที่นอน เขากักร่างผอมบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนมอบจูบให้เป็นรางวัล ยอมรับว่าไม่ได้สุขสมถึงใจเท่าคนอื่นที่เคยผ่านมา แต่มันลุ่มลึกในความรู้สึกจนไม่อยากจะนิยามออกมาเป็นคำพูด เขาไม่ได้ภูมิใจที่เป็นคนแรกแต่สมใจที่ได้มองใบหน้าหวานยามเหนื่อยล้าแสนทนเพราะปรนเปรอเขา ร่างหนาคร่อมอยู่เหนือร่างผอมบาง พรมจูบไปทั่วใบหน้าหวาน ปาดเหงื่อที่ผุดซึมข้างขมับก่อนจูบที่ปลายจมูก แทฮยอนยกสองแขนขึ้นโอบรอบคอแกร่ง เงยหน้ากดจูบที่ปลายคางได้รูป มือข้างหนึ่งละมาจับใบหน้าหล่อคมที่แม้แต่ความมืดมิดก็ปิดบังความดูดีเอาไว้ไม่ได้
          เราจ้องมองกันท่ามกลางแสงสลัว เขาไม่ได้เห็นไปทุกสัดส่วนของอีกคน แต่จินตนาการออกได้ทั้งหมด ทั้งแววตาคม ใบหน้าหล่อเหลา ผิวสีเข้ม ไหล่กว้าง อกแข็งกำยำ และรับรู้ตัวตนของอีกฝ่ายผ่านการสอดประสานกัน ความรู้สึกของการมีอะไรกันด้วยความเต็มใจมันเป็นอย่างนี้เอง ได้แบ่งปันลมหายใจแก่กันและกัน ร่วมรับความสุขสมจากความสมัครใจ ปล่อยผ่านทุกความคิดความกังวลไว้กับจังหวะของการเป็นหนึ่งเดียว
         
          หลงลืมไปเสียหมดทุกอย่าง
          แล้วรับแต่ความสุขสม
         
          “ไม่มีถุงยางแล้ว” มินโฮกระซิบตอนที่ลูบไล้ต้นขาเนียนลื่นมือไปมา เขาไม่ข้องใจในความสะอาดของอีกคนเพราะพิสูจน์มันมากับตัวแล้ว แน่นอนว่าเขาเห็นแก่ตัวและอยากสานต่อความต้องการอีกสักครั้ง
          “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร...” และคำตอบที่ได้รับก็สมใจ ร่างบางย้ำคำซ้ำเหมือนบอกทั้งอีกฝ่ายและบอกตัวเอง พร้อมกับปฏิกิริยาตอบสนองที่พาให้ร่างหนาตื่นตัวไปหมดทุกสัดส่วน คนตัวขาวแนบใบหน้าไปกับใบหน้าอีกคนคลอเคลียเหมือนแมวอ้อนเจ้าของ จูบซับใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ตระหนักได้แล้วว่าความรู้สึกมากมายทั้งหมดต่อเจ้าของมันคืออะไร

          เขามอบไปแล้วทั้งหมด...
          ให้อีกฝ่ายไปจนหมดแล้ว

          ไม่ใช่ในวันนี้
          แต่เขามอบมันให้ตั้งแต่วันที่เราสบตากันวันแรก

          วันนั้นที่คิดว่าไร้ความรู้สึก...ไม่ใช่เลย...

          ดวงตาดุดันแสนกระด้าง
          เขาเห็นแสงสว่างข้างในนั้น

          โดยไม่รู้ตัวว่าบางที...มันอาจจะเป็นแค่เงาสะท้อนของความมืดมิดก็ได้



Youre calling my heart
Every day now
Youre calling my heart
I want to take me out
From this night







(โปรดติดตามตอนต่อไป...)







----------------- [ Take me out ] -------------------



writer : @leensilence



#510330tracks

track, beating and them




Comments

Popular posts from this blog

[ Take me out ] - END

[ NO ] : Spotless Mind

[ Take me out ] - 01