[ Take me out ] - 01
[ Take me Out ]
- ตอนที่ 1 -
ติ๊ง... ติ๊ง....
หยดน้ำจากก๊อกผุพังกระทบอ่างล้างหน้าเสียงดังเอื่อยเฉื่อยทว่าไม่ขาดสายดังรบกวนเวลานอนไม่มากก็น้อย
แสงของรัตติกาลส่องผ่านความมืดมิดไปทั่วบริเวณ
แต่ในห้องซอมซ่อก็ยังมีหนึ่งร่างนั่งทอดมองแสงไฟเหลืองหม่นจากไฟริมทางแสนริบหรี่
‘นัมแทฮยอน’ เฝ้านับหลอดไฟริมทางในซอยเปลี่ยวอันเป็นที่ตั้งของตึกเก่ากึ้กที่ตนอยู่อาศัย
ไฟเหล่านั้นดับไปแล้วหลายดวงและเขาเฝ้ารอให้มีคนมาซ่อมแซมเสียที
จากเสียหนึ่งดวงกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสาม สามกลายเป็นสี่
เขาเฝ้ามองทุกดวงที่ริบหรี่ใกล้ดับอย่างมีหวังว่าซักวันจะมีคนเข้ามาทำให้มันสว่างอีกครั้ง
ร่างผอมบางนั่งขดตัวพิงกำแพงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเล็กที่เหมือนมีไว้เพียงเพื่อให้เขายังสามารถหายใจได้
ไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้ปลอดโปร่งหรือลดความอับชื้นได้เลย นอกจากนั้นยังทำให้ห้องนี้มืดครึ้มในตอนกลางวันและมืดแสนมืดในตอนกลางคืน
ลมจากภายนอกพัดจนม่านปลิวพลิ้วมือเรียวข้างหนึ่งจึงรวบไว้ให้นิ่ง
ส่วนอีกข้างชันไว้บนเข่าแล้วสอดปลายเล็บหัวแม่มือเข้าปากใช้ฟันคมขบกัดอย่างติดเป็นนิสัย
จากมุมนี้ไม่เคยเห็นพระจันทร์...
แสงยามค่ำคืนที่แทฮยอนมองเห็นจากตึกเก่าๆ
นี้ทุกวัน คือแสงจากหลอดไฟสกปรกริมทาง
ดวงตาหม่นแสงทอดมองไปเรื่อยผ่านหน้าต่างบานเล็ก
สิ่งที่เขาเห็นเป็นประจำทุกวันคือพวกเนื้อตัวสกปรกเดินเข้าออกในตึกนี้
ดีขึ้นมาหน่อยก็พวกนักเลงคุมบ่อนคุมซอยที่เดินเข้านอกออกในตึกโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร
เพียงแค่คนพวกนั้นมีเงินติดกระเป๋ามานิดหน่อยก็เพียงพอ
ในตึกเก่าทรุดโทรมชั้นล่างสุดยามค่ำคืนมักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งหญิงชาย
คนส่วนใหญ่ที่มาเยือนมักเป็นผู้ชายวัยกลัดมัน ส่วนคนที่รอต้อนรับเสมอก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย
ซื้อขายแลกเปลี่ยนทั้งที่ไม่มีสิ่งของคืนกลับไปที่ผู้ซื้อ แลกเปลี่ยนกันด้วยความพอใจและความสุขสมเพียงเท่านั้น
วงจรอุบาทของการซื้อขาย
ภายใต้สถานที่ที่เรียกว่า ‘ซ่อง’
ภายใต้ความชิงชังรังเกียจแทฮยอนกลับต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่รู้วันรู้คืน
ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ต้องเฝ้ารออะไร
สถานที่ที่เต็มไปด้วยความกักขฬะกลับเป็นสถานที่เดียวกันกับที่โอบอุ้มดูแลเขามาจนเติบโต จากเด็กทารกที่ถูกทิ้งริมทางในซอยเปลี่ยวถูกชุบเลี้ยงมาด้วยฝีมือแม่เล้า
หล่อนไม่ได้หวังอะไรจากเขานอกเสียจากให้เติบโตมาในเส้นทางที่วางไว้ให้
…เส้นทางที่มืดมิดจนเขาหาทางออกไม่เจอ...
ทุกคนที่นี่มีที่พักพิงและอาหาร
แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนต้องตอบแทน ถึงแม้จะไม่ได้เรียนหนังสือแต่อย่างน้อยที่สุดก็มีที่ให้ซุกหัวนอน
มีห้องสี่เหลี่ยมคับแคบกับเตียงสามฟุตเล็กๆ ให้นอนพักซึ่งเมื่อถึงเวลาใช้งานจะแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความสุขสมกับเงินตรา
สักวันเขาจะเป็นหนึ่งในนั้น สำหรับครั้งแรกตัวเขาจะมีมูลค่ามากกว่าครั้งไหนๆ
หลังจากการขายครั้งแรกแม่ใหญ่หรือเจ้าของที่นี่จะให้กำไรตอบแทนในระดับที่กินเที่ยวได้หลายวัน
นับว่ามากมายสำหรับคนที่นี่ ใครหลายคนถึงได้เฝ้ารอให้ถึงวันนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับเขา
แทฮยอนใฝ่หาโลกภายนอก
โลกที่มีแสงสว่างมากพอให้เขาได้หาหนทางของตัวเอง
แต่ในความเป็นจริงเขาจะเรียกร้องอะไรได้ในเมื่อชีวิตทั้งหมดกองอยู่ที่นี่
แม้ว่าเฝ้ารอหาทางสว่างที่คงไม่มีทางมาถึง เขาเติบโตมากับห้องแคบๆ ซอยเปลี่ยวๆ
รายล้อมไปด้วยหมู่คนที่ถูกเรียกว่าไอ้ตัวอีตัว หรือแม้กระทั่งผู้คนในละแวกนี้ก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากัน
หากคนภายนอกมองมาแถวนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากแหล่งมั่วสุมชั้นต่ำที่รวบรวมเอาคนเหลือเดนจากสังคมมากองรวมไว้ในที่เดียว
คนดีมีเงินคงไม่ผ่านเข้ามาให้เป็นเสนียด
...มองไปทางไหน
เขาไม่เคยเจอหนทางสว่างไสวเลย...
เหมือนกับแสงไฟริบหรี่ริมทางที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวัน
และวันนี้มีไฟทางดวงหนึ่งดับลงอีกแล้ว เหมือนกับความหวังในใจของเขาที่เลือนรางไปทุกที
อยากให้มีใครสักคนมาพาเขาออกไป
จูงมือเขาออกไปจากที่นี่...
‘I want to take me out
From
this night
Oh
take me out
Oh
take me out’
ในขณะที่เขาทอดมองออกไปนอกบานหน้าต่างบานเดิม
ลมหนาวพัดหอบกลิ่นบุหรี่เหม็นไหม้มาให้ได้กลิ่น อันที่จริงเขาเคยชินกับมันเพราะแถวนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นสารเสพติดเป็นทุนเดิม
ทว่าวันนี้เขากลับชะเง้อมองลงไปจนพบกับภาพโหดร้ายที่เกิดประจำในซอยนี้ที่เขาไม่อยากเห็น
แต่กลับถูกสะกดไว้ด้วยผู้ชายคนหนึ่งที่ภาพลักษณ์ฉาบไปด้วยความรุนแรง
มือข้างหนึ่งของผู้ชายคนนั้นคีบบุหรี่จ่อไว้ที่ริมฝีปากในขณะที่ปลายเท้าเหยียบลงตรงหน้าอกของชายอีกคนที่นอนทุรนทุรายอยู่กับพื้น
ใบหน้าคมฉายแววนิ่งแสนจะไร้อารมณ์
ไร้ความเมตตา ปลายเท้าบดขยี้ออกแรงเหยียบลงบนอกฝ่ายตรงข้าม คนอีกสองสามคนล้อมรอบพร้อมฟังคำสั่งจากผู้ชายคนนี้
เพียงแค่ยักคิ้วคนที่เหลือก็เข้ามารุมร่างที่เริ่มนอนแน่นิ่งบนพื้น
แม้ว่าจะมืดเพียงไหนแต่แทฮยอนก็ยังมองเห็นความรุนแรงเหล่านั้นชัดเจนจนสุดทนต้องเบือนหน้าหนี
แต่ก่อนที่จะหันหน้าหลบภาพความรุนแรงจากบานหน้าต่างกลับถูกตรึงไว้ด้วยแววตาคมที่เงยหน้าจ้องมองมา
แววตาดุดันน่าเกรงขามพร้อมกับท่าทางผ่อนคลายทั้งที่ตรงหน้ามีคนกำลังดิ้นรนร้องขอชีวิต
ผู้ชายคนนั้นทำเพียงพ่นควันสีเทาคลุ้งออกจากปาก มองนิ่งมาที่เขาเหมือนพักสายตา
พาให้ขนลุกชันไปทั้งกาย
จนสุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายหลบสายตาหนีก่อนและรีบปิดม่านในทันที
ถึงแม้ว่าจะไกลกันและมืดเพียงใดแต่แทฮยอนมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายเห็นเขา
เพราะชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนถูกแววตาเรียบนิ่งนั้นดึงดูดให้มองอย่างเผลอตัวทั้งที่สายตาของผู้ชายคนนั้นเรียบนิ่งเหมือนไร้ความรู้สึกจนเรียกได้ว่าแทบจะน่ากลัว
นั่นเป็นครั้งแรกที่ความสนใจของเขาเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ไฟริมทางสีเหลืองหม่นอย่างเคย
แต่เป็น...
แววตาสงบนิ่งที่เขามักจะมองหายามได้กลิ่นบุหรี่ที่ถูกลมหอบมาหรือสุ้มเสียงร้องขอชีวิตจากความรุนแรงของคนคนนั้น
ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เรามองเห็นกันผ่านบานหน้าต่างแคบบานนี้
ไม่ได้อยากทำความรู้จัก
ไร้ซึ่งการพูดคุย
ไร้ซึ่งความรู้สึกใดใด
มีเพียงสายตาที่สบมองกันด้วยความเรียบเฉยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
‘I don’t know where to go
On
this night
Oh
save me
Save
me from this dark
Sad
tears fall even when I smile’
แต่แล้วเราก็ได้มองกันใกล้ชิดขึ้นอีกหน่อย
ในวันที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามารับบริการจากคนในตึกเดียวกันกับเขา ทำให้รู้ว่าฝ่ายนั้นคือนักเลงคุมบ่อนที่อยู่ตึกตรงข้าม
เขาว่ากันว่ามาใหม่แต่โหดและมีฝีมือน่าดู
เราสบตากันตอนที่เดินสวนตรงบันไดทางขึ้นตึก
ในวงแขนข้างหนึ่งของผู้ชายคนนั้นมีหญิงสาวในตึกเดียวกันกับเขาคอยให้การปรนนิบัติ
ไหล่ของเราปะทะกันเล็กน้อยตอนที่เดินประชิดกันทว่าสายตาที่เราใช้มองกันยังคงไร้ซึ่งความรู้สึกใดใดอย่างเคย
เฉยเมยอย่างคนไม่รู้จักกันเป็นปกติ เพียงแต่สองสายตากลับสบกันทุกครั้งที่วนเวียนมาเห็น
อย่างที่เคยเฝ้ามองกันตรงบานหน้าต่างและสุดท้ายก็เดินเลยผ่านกันไปโดยที่ไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด
คงเพราะเราต่างคนกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องของตัวเองเป็นสำคัญ
วันนั้นหนทางการก้าวเดินของเราช่างแตกต่างกัน
คนหนึ่งกำลังเดินเข้าหาความสุขสมยามค่ำคืน ในขณะที่อีกคนกำลังเจอกับความขมขื่นกล้ำกลืนในชีวิตที่เฝ้านับถอยหลังหา
ทว่าไม่อยากประสบพบเจอ
“ไม่เกินเดือนหน้าเสี่ยควอนจะเปิดห้องแก”
ผู้หญิงแต่งตัวจัดทาปากสีแดงเข้มขัดกับอายุ หล่อนปรายตามองก่อนบอกเสียงนิ่ง
ยกมือไล่ลูกน้องชายตัวใหญ่สองคนให้เดินออกจากห้องทำงานของหล่อนไป
ห้องที่มีแค่โต๊ะเก่ากึ้กกับเครื่องคิดเลข ห้องที่ทุกคนมารับเงินกับหญิงแก่ที่คนในตึกให้ความเคารพหรือที่คนภายนอกเรียกกันว่าแม่เล้า
หล่อนคือคนคนเดียวกับที่ชุบชีวิตเด็กจากถังขยะอย่างเขา
บุญคุณหรือก็มีมากแต่สิ่งตอบแทนที่หล่อนหมายมั่นคุ้มเกินจะคุ้ม
แค่การเลี้ยงดูตามมีตามเกิดเฝ้ารอวันที่เด็กข้างถนนจะทำเงินมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงคนอย่างหล่อนที่นับเงินหลายแสนต่อหนึ่งคืน
เจียดเงินนิดหน่อยให้ข้าวให้น้ำแล้วค่อยมาขูดเอาในวันที่มันสามารถทำเงินให้ได้เรื่อยๆ
ตลอดชีวิตของมัน เพียงพอแล้วสำหรับการลงทุน เธอทำอย่างนั้นกับเด็กข้างทางทุกคนที่กำลังหาที่ไปและไร้หนทางในชีวิต
“แต่ผม...ผมเพิ่งจะสิบ..แปด”
เด็กหนุ่มที่รู้ชะตาตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรค้านเสียงเบาทั้งยังตะกุกตะกัก
ใบหน้าหวานก้มลงจนคางชิดกับลำคอ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม
“นั่นแหละถึงเวลาซักที”
หล่อนวางปากกาที่กำลังขีดๆ เขียนๆ บางอย่างก่อนจะเดินไปประชิดร่างผอม
มือเหี่ยวของหล่อนเชยคางได้รูปให้เงยสบตา “แกก็เห็นนังนาราขายออกตั้งแต่16”
เขาเงียบเพราะไม่รู้จะตอบโต้สิ่งใด
มันก็อย่างที่อีกฝ่ายพูดมา คงถึงเวลาเสียทีที่เขาต้องทำอย่างที่ทุกคนที่นี่ทำกัน
“ค..ครับ..แม่ใหญ่”
หลังมือเหี่ยวย่นไล้ไปตามใบหน้าของร่างบาง
ผิวลื่นมือทั้งที่ไม่ได้รับการบำรุงทำให้หล่อนพึงใจ
มองจ้องพินิจใบหน้าขาวซีดทว่าดึงดูดสายตาอย่างวิเคราะห์
เนื่องจากคาดหวังกำไรจากเด็กคนนี้มานานและถึงเวลาเสียทีที่หล่อนจะสูบเอากำไรจากสิ่งที่หล่อนลงทุนไป
“ช่วงนี้ก็รักษาตัวแกให้ดี” หล่อนกำชับพลางมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ไม่มีตรงไหนที่มีตำหนิ เหลือก็แต่รอเวลา หล่อนไม่อยากให้พลาดของดีย่อมมีราคาและหล่อนคาดหวังว่าของดีที่เฝ้ารอวันขายจะไม่ดีแตกเสียก่อนจะถึงวันนั้น
แทฮยอนพยักหน้ารับอย่างขมขื่น เขาเข้าใจว่าความหมายของมันลึกซึ้งกว่านั้นมาก
รักษาตัวคือรักษาร่างกาย
รักษาเอาไว้ไม่ให้แปดเปื้อนเพื่อรอวันที่จะมีคนมาสาดความสกปรกให้ในครั้งแรก
รักษาความบริสุทธิ์เอาไว้เพื่อให้คนที่จ่ายเงินถึงมาย่ำยีเอาได้ตามแต่ใจ
“ยังดีที่แกมันพูดง่ายกว่าคนอื่น
ไม่ใจแตกไปเร่ให้คนอื่นก่อนเวลาที่สมควร” หญิงแก่พูด คำพูดของหล่อนใกล้เคียงกับคำสอนของผู้ใหญ่ทว่าความหมายจริงๆ
ของมันต่ำช้าเกินกว่าที่ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กคนหนึ่งจะพูดออกมา
มันหมายความว่าสิ่งที่หล่อนสั่งให้เขาเก็บรักษาไว้มีไว้เพื่อเป็นมูลค่า
เพิ่มราคาให้กับความอัปยศที่ใกล้เข้ามาทุกที
ประวัติมันก็มีให้เห็น เด็กบางคนมันไม่รักดีแถมไม่รักตัวกลัวตาย
ยอมเสียครั้งแรกไปฟรีๆ ให้พวกไม่มีเงินจะเจียดมาจ่าย บูชาความรักโง่เง่าชั่ววูบ
ดีหน่อยถ้าไอ้พวกเสี่ยมันไม่เอาเรื่องก็กลับมาตายรังขายตัวหากินต่อไป
แต่ถ้าแย่เจอไอ้พวกเสี่ยที่มันเสียอะไรเสียได้เสียหน้าไม่ได้
จะส่งคนใหม่ให้ไม่เอามันก็คงมีช้ำกันไปบ้าง
โดนสั่งสอนทั้งจากหล่อนแล้วก็ไอ้เสี่ยขาโหดสองเด้ง
“กับเสี่ยนั่นมันก็ดีหน่อย
ถ้าเสี่ยมันพอใจแกมาก อาจจะซื้อแกเป็นอาทิตย์เป็นเดือน
ดีกว่าต้องไปนอนกับไอ้พวกกุ๊ยรายวันเป็นไหนไหน”
เรื่องราวโสมมที่นี่มีมาทุกรูปแบบและหล่อนคาดหวังกับการขายบริสุทธิ์จากเด็กที่หล่อนชุบเลี้ยง
ทว่าบางคนก็ทำให้หล่อนหัวเสียถึงขั้นลงไม้ลงมือ หลายคนใจแตกแลกรักให้ไอ้กุ๊ยบางคนฟรีๆ
อย่างไร้มูลค่า และมันแสนจะน่าเจ็บใจสำหรับคนที่คาดหวังกำไรอย่างหล่อน
เขาพยักหน้ารับทั้งที่ในใจประท้วง จะเสี่ยหรือกุ๊ยคนแถวนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเดนคนกันทั้งนั้น
ฝ่ามือที่ลูบหัวเขาราวกับเอ็นดูน่าขยะแขยงพอๆ กับริมฝีปากสีแดงที่กำลังเหยียดยิ้มให้
แต่ตัวเขาจะทำอะไรได้มากไปกว่าก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมที่รู้อยู่ว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวัน
และเมื่อวันนั้นมาถึง...
ชีวิตมันคงจะมืดมนกว่านี้
หนทางที่วาดหวังควานหาแสงสว่าง
ไม่มีวันที่จะได้พบแล้วอย่างแน่นอน…
แทฮยอนเกลียดที่นี่แต่ทว่าสำหรับตัวเขาเองก็ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่
ตึกทรุดโทรมที่ถูกใช้เป็นสถานที่หากินของใครหลายคน ซอยเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยคนเหลือขอก็เป็นที่เดียวที่เขาเดินผ่านเข้าออกทุกวัน
สถานที่ไกลที่สุดที่ตัวเขาเคยไปคือร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย และมันก็เป็นสถานที่ที่เขาชอบไปที่สุดในตอนกลางวัน
เขาสามารถนั่งมองรถขับผ่านไปมาได้เป็นวันๆ จนนึกจินตนาการไปต่างๆ นานา อยากลองขับรถยนต์เองสักครั้ง
ถ้ามีวันนั้นเขาจะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ทว่าในความเป็นจริงมันก็เป็นได้แค่ความคิดเพราะเขาไม่เคยไปได้ไกลกว่านี้...
ไม่มีโอกาส...
ไม่มีหนทาง…
ถนนของเขาทอดยาวสู่เส้นทางที่มีคนกำหนดให้
เลวร้ายแต่ก็ต้องเดินเข้าไปอย่างขัดไม่ได้
เพราะสิ่งที่ชีวิตนี้ยังห่วงก็คือ..ชีวิต..
การขัดคำสั่งไม่ทำตามเจ้าของชีวิตที่ชุบเลี้ยงมา
แทฮยอนรู้ว่าต้องเจอกับอะไร คิดหนีต้องเจอกับอะไร คนในตึกถูกสั่งสอนกรอกหูทุกวันให้ทำตามแม่ใหญ่
หล่อนอยากได้อะไรเด็กทุกคนก็ต้องทำตาม หล่อนอยากได้ความบริสุทธิ์เขาก็ต้องเก็บไว้ให้
อยากให้ขายอะไรก็ต้องขาย เขาก็เหมือนสินค้าที่หล่อนลงทุนสร้างมาตั้งแต่ยังแบเบาะ
รอวันขายให้ได้ราคา ผู้หญิงคนนั้นอยากได้อะไร แทฮยอนคนนี้ต้องพร้อมจะมอบให้แลกกับความอยู่รอดของตัวเองไปวันๆ
เขาก็แค่คนธรรมดา
ที่ยังเกรงกลัวอำนาจ
ร่างบางนั่งมองรถแล่นผ่านไปมาอยู่บริเวณที่นั่งเคาน์เตอร์บริการลูกค้าภายในมินิมาร์ทขนาดเล็ก
มือถือข้าวปั้นราคาถูกกินเป็นมื้อกลางวัน
เขาไม่ได้มีเงินมากพอให้กินอะไรมากกว่านี้ เงินที่มีส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการรับจ้างพี่ๆ
ในตึกซักรีดเสื้อผ้าก็แค่นั้น แทฮยอนอาศัยแค่ข้าวปั้นก้อนเดียวให้ได้นั่งอยู่ในร้านสะดวกซื้อนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคางเมื่อกินเสร็จ
เขามองด้านนอกไม่ได้ละสายตา ถนนทอดยาวไปถึงไหนเขาเองไม่อาจรู้ แต่อยากที่จะรู้
หากสองขานี้สามารถเดินไปจนสุดทางเขาจะเจอกับแสงสว่างที่เฝ้าตามหาหรือไม่
ในเมื่อถนนที่เขาเดินออกมามีแต่ความมืดมิด
ข้างนอกฟ้าครึ้มเพราะฝนกำลังตั้งเค้า
เขาเกลียดฝนเพราะนอกจากจะทำให้หนาวยังทำให้เหงา
ทั้งที่ชีวิตนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้วแต่เมื่อไหร่ที่ฝนตกก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำความโดดเดี่ยวของตัวเขาเข้าไปอีก
สายฝนไม่ต่างจากหยาดน้ำตาที่หลั่งริน น้ำตามากมายที่เคยสูญเสียเปียกโชกรินรดใจ
สายฝนที่ใครว่าชุ่มฉ่ำชโลมอาบไปด้วยความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ
สายลมพัดเอาเมฆฝนเคลื่อนมาใกล้ แทฮยอนจึงตัดสินใจที่จะเดินกลับไปยังที่ที่เขาพักอาศัยเพราะหากกลับช้าไปกว่านี้คงเปียกแน่เนื่องจากเขาไม่ได้พกเอาร่มมา
ทว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เพราะทันทีที่เขาเดินไปถึงเพียงกลางซอยฝนก็เทลงมาอย่างแรงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างบางพาเนื้อตัวเปียกปอนรีบวิ่งฝ่าสายฝนทว่ากลับถูกรั้งไว้ด้วยเสียงโห่แซวจากชายวัยกลัดมันใต้ชายคาบ่อนโสโครก
พร้อมกับคนตัวโตคนหนึ่งก้าวเข้ามาขวางหน้า
แม้ในมือจะถือร่มกางให้ราวกับหวังดีแต่ท่าทีคุกคามจนแทฮยอนเผลอเดินถอยหลัง
“เห้ย อยู่ตึกท้ายซอยป่ะวะ” มันถาม ร่างบางไม่ตอบพยายามเบี่ยงตัวเดินหนีแต่ว่าชายคนนั้นก็เดินขวางไปมา
“อย่ามายุ่ง” เขาพูดเสียงเบา
แน่นอนว่าสู้เสียงฝนไม่ได้และฝ่ายนั้นไม่ได้ยินหรือความจริงคือไม่คิดจะสนใจ
มันได้เสียงโห่เชียร์จากพรรคพวกกลุ่มใหญ่ที่ยืนใต้ชายคาบ่อนเถื่อน
เสียงทุ้มต่ำโห่ดังลั่นและแต่ละคำที่ออกมาก็น่าขยะแขยง
“แม่งขาวชิบหาย”
“เสื้อเปียกอย่างเอ็กซ์”
“จงใจเดินผ่านมายั่วป่ะวะ เรียกลูกค้าเข้าตึก”
“ฮ่าฮ่า ขาวเนียนกว่าอีตัวที่กูซื้อเมื่อวานอีก”
“แวะหลบฝนก่อนสิวะ”
ไอ้คนที่มายืนขวางพูดเหมือนเอ่ยชวนทั้งที่ความจริงเป็นการบีบบังคับ ต้นแขนขาวถูกจับอย่างถือวิสาสะจนแทฮยอนสะดุ้งไปทั้งตัว
“ปล่อย” เขารั้งแขนกลับมา
“ทำเป็นดีดดิ้น กูมีเงินซื้อนะโว้ย”
ฝ่ายนั้นตวาดอวดอ้าง ฉุดแขนเรียวให้เดินตามไปในทางที่ต้องการ
แทฮยอนทำเพียงรั้งแขนตนไว้ ปากบางเม้มแน่น ดึงรั้งตัวเองไม่เดินตามทว่าจะสู้แรงพวกใช้กำลังทำงานเป็นประจำได้อย่างไร
สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองทันทีที่ได้อยู่ร่วมชายคากับอีกหลายชีวิตท่าทางคุกคาม
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองใคร
เขาไม่ได้กลัวแต่รังเกียจ…
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้
ในเมื่อซอยนี้เป็นแหล่งรวมความอโคจร มันไม่ปลอดภัยกับใครทั้งนั้นแม้ว่าจะเป็นคนแถวนี้เองก็ตาม
เขาชินกับการโดนคุกคามจับนิดแตะหน่อยแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รังเกียจสัมผัสหยาบช้าเช่นนี้
ใบหน้าเรียวหันซ้ายแลขวาหาคนช่วยทว่าท่ามกลางฝนกระหน่ำเช่นนี้เขาไม่ได้โชคดีมีลูกน้องของแม่ใหญ่หรือบรรดาคนร่วมตึกคอยช่วยเหลืออย่างเคย
สองมือไม่ได้ปัดป้องทำเพียงป้องกันร่างกายตัวเองจากมือกระด้างที่จู่โจมตรงนั้นตรงนี้
ใบหน้าหวามก้มต่ำจนคางแทบชิดกับหน้าอก หลีกเลี่ยงทั้งฝ่ามือและสายตาทราม
“อย่างมึงรับงานนอกตึกได้มั้ยวะ ฮ่าฮ่า”
เสียงหนึ่งในพวกมันเย้าแหย่ เหมือนถามแต่ขัดกับการกระทำ “รับตอนนี้ ที่นี่
มึงได้หลาย”
“ไม่.. ไม่ได้” เขาบอกเสียงสั่น
ทั้งหนาวทั้งขยะแขยงสัมผัสต่างๆ นานาที่กำลังคุกคาม ร่างบางถูกต้อนจนล้มลงกับพื้น
พวกนั้นยืนล้อมไว้
“รับนอกตึกมึงไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้อีเจ้โหดของมึง
ได้เงินเต็มๆ นะโว้ย” คนที่ฉุดกระชากเขาเข้ามาย่อตัว ยื่นใบหน้าเข้าใกล้
มือหนาบีบปลายคางบังคับดันให้เงยหน้ามองกัน สายตาของมันมีแต่ความกระหาย
“ไม่...ไม่ ไม่ได้..” เขาย้ำคำ
ปัดสัมผัสถดตัวหนีจนชิดมุมสองมือกอดตัวเองสองขาขดเข้าหากัน
คนพวกนั้นก็ยังเดินตามมา กลิ่นความกักขฬะคุกรุ่นจนรู้สึกได้
“ฮ่าฮ่า ได้! ได้สิวะ! วันนี้มึงได้ขายนอกตึกแน่นอน”
ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้าประชิดตัวเขา สองมือกระชากทั้งร่างให้ลุก จับคอเสื้อเขากระชากแรงจนเห็นหัวไหล่
เสียงหัวเราะแสนหยามใจจากพวกมันดังขึ้นทันทีที่ผิวขาวเผยให้เห็น เสียงโห่ร้อง
พร้อมกับเสียงสบถคำหยาบคายขาดระยะ
ร่างบางดิ้นจนหยุดดิ้น
แขนเขาคงช้ำแน่เพราะแค่ตอนนี้ก็รู้สึกร้าวระบมไปหมด
เขาถูกผลักลงพื้นอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงใหญ่สองคนประกบที่ข้างตัว
และอีกคนคร่อมอยู่ด้านบน
เขามักต้องจำนนต่อโชคชะตา
แม้ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใด
ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน...
“พวกมึง!” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นกระทบโสตประสาท
มันเรียบเฉยทว่าดังพอจะเรียกสติให้กับคนที่กำลังทำเรื่องไร้สติ การกระทำทั้งหมดหยุดชะงัก เขาไม่รู้ว่าเสียงใครเพราะยังหลับตาแน่นปิดกั้นการรับรู้แต่นึกขอบใจที่เข้ามาหยุดการกระทำหยาบช้านี้แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ก็ตาม
“ว่าไงพี่?” หนึ่งในคนที่รุมทึ้งร่างกายเขาตอบรับ
“นายเรียก” เสียงนั้นตอบสั้นๆ
เขาได้กลิ่นบุหรี่ลอยมาปะปนกับกลิ่นฝน มือหยาบกร้านที่เคยสัมผัสตามร่างกายค่อยๆ ผละออกไปทีละข้างสองข้าง
“ทุกคนเลยหรอวะพี่?” พวกมันยังถามย้ำ
สบถนู่นนี่ออกมาอย่างเสียดาย เพราะเหยื่ออันโอชะอยู่ข้างหน้าแท้ๆ แต่กลับมีเรื่องมาขัดจังหวะ
“เออ” เป็นเพียงคำตอบรับสั้นๆ ทว่าหนักแน่น
ทำให้คนสี่คนที่หัวเสียทำตามอย่างไม่อิดออด ผละตัวถอยห่างจากร่างกายเขา
สองแขนเรียวกอดตัวเองแน่นทว่ายังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเผชิญ
หอบเสื้อผ้าปิดบังร่างกายสองมือสองไม้ ถดตัวหนีจนชิดกำแพง สองขาตั้งชันก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง
“แม่งเอ้ย! กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย”
“มีโอกาสกูจะไปซื้อมึงที่ซ่อง”
“ขาวเป็นหยวกเลยมึงเอ้ย!”
ไอ้พวกนั้นทิ้งท้ายไว้
ทั้งยังไม่วายแตะนิดแตะหน่อยเป็นของแถม มีคนหนึ่งฟาดหนักๆ ลงที่สะโพกเขา
แทฮยอนก้มหน้างุดไม่เงยมองหน้าใครทั้งนั้น ไม่อยากจำได้ ไม่อยากนึกถึง
จะลืมให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
เนื้อตัวเขาเปียกปอนจากน้ำฝนแต่ไม่ได้ทำให้หนาวเหน็บเท่าตอนที่ถูกลวนลามหยาบโลน
เขารู้สึกได้ถึงเงาดำมืดเขยิบเข้ามาใกล้
ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เหมือนจะหายไปแล้วจะไม่กลับมาอีก
ถึงยังไง..ก็พวกเดียวกัน...
เขาไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น...
แทฮยอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงฟ้าคำรามก้องเหมือนขมขู่ให้ตัวเขายิ่งลีบเล็กไปกว่าเดิม
สองแขนยิ่งรัดเข้าหากันแน่นใบหน้าแนบกับหัวเข่าดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่น
ไหล่เขาสั่นไหวจนรู้สึกได้ สภาพเขาคงน่าเกลียดน่าชังจนไม่อาจจินตนาการอย่างแน่นอน
หูเขาจับเสียงฟังชัดว่ามีฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้ตัว
ทั้งที่มีเสียงฝนดังกลบเสียงรอบตัวทว่าน้ำหนักการย่างเท้าของใครก็ไม่รู้กลับชัดเจนในโสตประสาท
ยิ่งเสียงนั้นดังขึ้นเท่าไหร่ เขายิ่งพยายามถอยหลังมากเท่านั้น ทั้งที่ในตอนนี้มันจนมุมแล้วแต่ตัวเขาก็ยังกระเถิบตัวเบียดผนังปูนแข็งจนความเย็นเยียบแนบผิวต้นแขนจนสะท้านไปทั้งตัว
“พอแล้วมั้ง จะสิงกำแพงหรือไง?”
เสียงทุ้มต่ำติดจะเย็นชาจนรู้สึกได้ แทฮยอนหยุดนิ่งพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่น
“ใส่ซะ”
เจ้าของเสียงต่ำพร่าโยนกางเกงเปียกชื้นให้มันตกกองอยู่ปลายเท้า
ร่างผอมบางคว้าเอามาก่อนจะรีบหันหลังยืดขาใส่กางเกงแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
เขาพยายามจับเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่ที่สุด
แทฮยอนไม่ได้สนใจว่าคนที่โยนกางเกงมาให้จะจดจ้องมองอยู่หรือเบนหน้าหนี
ถึงยังไงผู้ชายคนนั้นก็คงเห็นสภาพแสนทุเรศตอนที่เขาโดนจับอ้าขาทำอะไรต่อมิอะไรเมื่อครู่ไปอยู่แล้ว
ถึงจะอาย...
แต่ทำยังไงได้?
เขาไม่เคยทำอะไรได้อยู่แล้ว จะปกป้องตัวเองหรืออะไรก็แล้วแต่ยังไม่ได้เลย
ยังไงร่างกายนี้ก็คงไปนอนอยู่บนเตียงเปิดเผยทุกสัดส่วนให้ใครต่อใครได้เห็นในสักวัน
วันนี้ใครจะเห็นก็ไม่เป็นไรหรอก
ถึงจะคิดอย่างนั้น...
ก็ยังสั่นไหวไปทั้งตัว
“จะยืนรอให้ไอ้พวกนั้นออกมาหรือไง?” แทฮยอนสะดุ้งเขายังไม่อยากจะหันหน้ากลับไป
ทั้งที่อยากวิ่งไปจากตรงนี้เสียให้ได้แต่ทำได้เพียงยืนก้มหน้านิ่ง
ร่างผอมบางขยับตัวเชื่องช้าหันหน้าไปยังทางที่หันหนี
เขามองต่ำเห็นแค่ปลายเท้าอีกคนที่ตอนนี้ประชิดตัวเขาเสียจนเผลอก้าวถอยหลังจนส้นเท้าสะดุดกำแพง
เข่าเหมือนอ่อนแรง ทั้งตัวกำลังจะล้มลงหากไม่มีเจ้าของเสียงต่ำน่ากลัวช้อนเอวไว้
แทฮยอนตอบสนองทันทีด้วยการใช้สองมือกำเสื้อบริเวณหน้าอกอีกฝ่ายแน่น ทั้งยังเผลอเงยหน้ามองคนที่อยู่ห่างกันแค่ลมหายใจกั้น
ผู้ชายคนนั้น...
อยู่ดีๆ ใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ
เราใกล้กันเกินไปจนจากหนาวกลายเป็นร้อน
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเหมือนใจจะหยุดเต้นอยู่ทุกขณะ แต่ตอนนี้กลับเต้นแรงราวกับได้ออกซิเจนถังใหม่ช่วยชีวิต
เขาผละออกอย่างรวดเร็วแต่ความรู้สึกเมื่อครู่เหมือนยาวนานหลายนาที
ใจเขายังเต้นทั้งที่อยู่ห่างกันแต่ตาไม่กล้าสบมองอีกแล้ว
อยู่ใกล้ไม่เหมือนมองจากที่ไกล
นัยน์ตาคมเรียบนิ่งเหมือนน้ำในมหาสมุทร
เย็นเยียบทว่าฉาบไปด้วยประกายความร้อน
ชวนมองแต่น่ากลัวเกินกว่าจะจ้องได้นานในระยะใกล้ เขาเหมือนโดนแช่ด้วยน้ำแข็งแต่ในตัวมีไฟร้อนกำลังแผดเผา
“สรุปว่าจะรอ?”
“ม..ไม่” เขาส่ายหน้าเป็นพัลวัน
สองมือรวบเสื้อหลุดลุ่ยให้คลุมกายก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินหนีออกจากบริเวณนี้
“เดี๋ยว” แต่คนคนนั้นก็ขัดไว้
แทฮยอนเลิกลั่กอย่างไม่ควรเป็น ทั้งที่ควรเดินต่อไปไม่ฟังคำค้านแต่ขาทั้งสองข้างกลับหยุดชะงัก
ร่างผอมบางหันกลับไปมองอีกคนอย่างช้าๆ ยืนนิ่งรักษาระยะห่างที่ทำให้ตัวเองสบายใจทั้งที่ต้องเปียกฝนแค่ไหนก็ตาม
ดวงตาพร่าเบลอเริ่มมองสังเกตคนเรียก มือใหญ่ของอีกคนถือร่มพร้อมกับยื่นให้
ร่มเก่าๆ คันหนึ่งที่คงคว้ามาจากแถวๆ นั้น
อีกฝ่ายยื่นร่มส่งให้ ทว่าแทฮยอนยังยืนนิ่ง
เขากระพริบตาไล่หยดน้ำที่เริ่มเกาะกุมอยู่ที่แพขนตา ตัวชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน
เขาเห็นผู้ชายสูงใหญ่ผิวเข้มกางร่มแล้วเดินเข้ามาใกล้ “เอาไปสิ”
เราอยู่ด้วยกันในร่มคันเล็กและมันเล็กลงจนถนัดตาเมื่อมีสองร่างยื่นอยู่ด้วยกัน
แทฮยอนส่ายหน้า พลางปฏิเสธออกไป “ไม่..ไม่เป็นไร.”
ร่างผอมหันหลังพลางจะเดินไปอีกครั้ง
คนตัวใหญ่กว่าจึงคว้าแขนเล็กเอาไว้พลางยัดด้ามจับของร่มใส่มืออีกคน “เอาไป”
เขายืนยันคำเดิม
“ขอบ..คุณ”
เขาบอกในขณะที่รับร่มมาถือไว้ แววตาคมแฝงแววดุดัน มันแน่วแน่เสียจนต้องทำตาม เมื่อเขาก้าวเดินร่มย่อมห่างจากคน
ผู้ชายคนนั้นเปียกฝนตอนที่เดินกลับ ถึงมันจะเล็กน้อยแต่ก็ขอบคุณจริง
เขาจะลืมเรื่องทุกอย่างในวันนี้ไปให้หมด
แต่คงจะมีสิ่งที่เขาเลือกจำไว้...
กลิ่นเข้มๆ ของบุหรี่…
ที่ผสานเข้ากับกลิ่นชื้นๆ ของสายฝน
ที่ผสานเข้ากับกลิ่นชื้นๆ ของสายฝน
ฟ้าหลังฝนคงจะสวยงามอย่างที่ใครๆ ว่าไว้...
‘I want you to let me out
Let
me out
There’s nobody in here
With
me’
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
----------------- [ Take me out ] -------------------
writer : @leensilence
#510330tracks
track, beating and them
Comments
Post a Comment