[WE WERE]






[ WE WERE ]








ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
(Quotes by Kahlil Gibran)




First Impression

วันเปิดเทอมแรกของการศึกษา มหาวิทยาลัยที่ดูวุ่นวายไม่ต่างจากตลาดยามเช้า ม้านั่งประจำกลุ่มเมื่อตอนปีหนึ่งก็ยังเป็นสถานที่ที่กลุ่มของพวกเขามาจับจองกันไว้เหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้มีใครบางคนที่พวกเขาไม่รู้จักมาตัดหน้าแย่งไปนั่งก่อนแล้ว

“เชี่ย กูเพิ่งเคยเจอผู้ชายหน้าสวยแบบนี้” ฮันเฮเอ่ยออกมาเป็นคนแรก เมื่อมองไปยังบุคคลแปลกหน้าที่มาเยี่ยมเยียนม้านั่งของพวกเขา  

“น้องมีแฟนหรือยังครับ”  ประโยคคำถามที่ทำให้คนที่นั่งเงียบอยู่ในโลกของตัวเองกับหูฟังเพียงลำพังไม่สนใจว่ามีคนมานั่งด้วยเลยด้วยซ้ำ ต้องเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากเพื่อนเขาชะโงกเข้าไปถามใกล้ขนาดนั้น

“รู้ได้ไงว่าเขาเป็นน้อง”  จีฮุนถามด้วยความสงสัย

“ต่อให้เขาอยู่ปีสี่ มันก็สมควรเรียกน้องอยู่ดี หน้ามันโกงอายุขนาดนี้” ฮยอนแทเสริม

ฮันเฮ จีฮุนและฮยอนแทยังคงถกเถียงกันเสียงดัง ในสายตาคนที่มาใหม่มันไม่ต่างจากเด็กผู้ชายสามคนกำลังแย่งหุ่นยนต์กัน แต่มินโฮชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้วจึงเลิกสนใจแล้วหันไปมองสมาชิกใหม่ทันที

“มึงสองคนนี่มารขัดใจกูจริงๆ ว่าแต่ชื่ออะไรหรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เด็กใหม่ใช่ไหมเรา” ทั้งมินโฮและเพื่อนอีกสองคนได้แต่ทำหน้าเอือมให้กับนิสัยความแถตรงของฮันเฮ พูดอย่างกับว่าทุกคนที่เข้ามาเรียนที่นี่ต้องผ่านสายตาของมันก่อน

คำตอบก็คืออีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา

“แล้วชื่ออะไร โสดใช่ไหม” ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้คำตอบดังเดิม สายตาที่ส่งกลับมาเหมือนบอกเป็นนัยว่าพวกมึงจะรู้ไปทำไมหรืออีกอย่างก็คือ เสือก มินโฮคิดว่าถ้าไม่โลกส่วนตัวสูงก็คงรำคาญมากถึงมากที่สุด

“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ก็เราเล่นใส่เสื้อแบบนี้มาเอง” ฮันเฮพยายามเกลี้ยกล่อมและเลี่ยงการเสี่ยงบาทาจึงต้องบอกเหตุผลที่เข้ามาคุยด้วยออกไป


Ask me anything สกรีนบนเสื้อยืดสีแดง

กางเกงยีนส์สีซีดมีขาดบ้างประปรายที่พับขาขึ้นมา

และมีหมวกเป็นไอเท็มเฉดสีเดียวกับกางเกง



หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นกลุ่มของเขาก็มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน วันนี้ทั้งห้าคนนัดกันว่าจะมารวมตัวกันที่ห้องของแทฮยอน ดื่มและเล่นเกมโดยมีข้อตกลงว่าครั้งนี้จะแบ่งการเล่นเป็นสองฝ่าย สำหรับผู้แพ้ต้องเลี้ยงแอลกอฮอล์ไม่จำกัด หรือถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเลี้ยงจนกว่าคนกินจะตายไปกันข้างหนึ่ง ส่วนคนชนะจะสั่งฝ่ายแพ้ให้ทำอะไรก็ได้  

ก่อนเกมรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นทั้งหมดจับไม้สั้นยาวโดยมีฮันเฮเป็นคนกำไม้ทั้งหมดนั้นไว้

และผลตัดสินคือแทฮยอนกับเขาแพ้..

“อะไรก็ได้ที่ไม่เสียเงินแล้ว” มินโฮออกตัวก่อนที่ฮยอนแทจะเอ่ยออกมา แม้สินทรัพย์จะยังเหลืออยู่แต่เขาก็ไม่เสี่ยงที่จะต้องจ่ายเครื่องดื่มแบบนี้ให้พวกมันอีก ปริมาณที่ดื่มเข้าไปคิดว่าเอาไปอาบซะมากกว่า

“น้องแทฮยอนยังไม่เห็นจะพูดไรเลย เนอะ” ฮันเฮเถียงกลับ ส่วนประโยคหลังก็หันไปทำตาหวานเยิ้มใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาไม่รู้ว่าแทฮยอนมีขีดจำกัดในการเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายได้มากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็โดนอีกคนค่อยๆ เอนกายมาพิงไหล่ของเขาทีละนิด





“มินโฮ จูบหน่อย ..”

“ห้ะ!

“มึงจะเสียงดังทำไม แม่ง ถ้ารู้ว่าบทลงโทษเป็นงี้กูจะเสียสละคู่กับน้องแทฮยอนให้” 

อาจเป็นเพราะเขาเองเอาแต่เผลอจ้องหน้าของแทฮยอนจนไม่ได้ยินว่าก่อนหน้านั้นเพื่อนทั้งสองพูดว่าอะไร

“พวกมึงก็อย่าลีลา แพ้ก็คือแพ้” ฮยอนแทยังคงเร่งเร้า เมื่อแอลกอฮอล์เข้าปากการลงโทษแปลกๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเสมอในวงอบายมุข แต่มันอาจมากไปสำหรับตัวเขาเองที่โดนสั่งให้ทำแบบนี้

ระหว่างที่กำลังคิดหาวิธีให้เพื่อนเปลี่ยนใจหาอย่างอื่นมาทดแทน คนที่ใช้ไหล่เป็นที่พักพิงก็เอามือทั้งสองข้างนั้นมาล็อคหน้าของเขาไว้  ดวงตาที่ดูหยาดเยิ้มเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นทีละนิด ถ้ามินโฮจะบอกว่าคนตรงหน้าสวยจะช้าไปหรือเปล่า

แทฮยอนจ้องไปทั่วใบหน้าของเขา ราวกับว่ากำลังสำรวจสิ่งที่แปลกใหม่ในระยะใกล้ ไล่ลงมาตั้งแต่ตาคมที่ต่างฝ่ายต่างจับจ้องราวกับจ้าวป่ากระหายเหยื่อ รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อสายตาของคนตรงหน้าหยุดลงที่ริมฝีปากคล้ำเพราะการสูบบุหรี่จัด

ถ้าเป็นนักฟุตบอลที่กำลังเตะจุดโทษ แทฮยอนคงโดนปรับฟาล์วเมื่อไม่รอฟังกรรมการอย่างฮยอนแทสั่งให้เริ่มด้วยซ้ำ ริมฝีปากที่บางและสีสดใสกว่ากำลังประกบลงมาที่แห่งเดียวกัน ไม่มีการรุกล้ำ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายเผลอกัดริมฝีปากล่างของเขาก่อนจะถอนปากสวยนั้นออกไป

มินโฮยกดื่มรวดเดียวจนแทบไม่เหลือน้ำในแก้วสักหยด มือชงอย่างฮยอนแทก็พร้อมที่จะเติมให้เพื่อนไม่ขาดตอน ฮันเฮพยายามจะเปลี่ยนเรื่องที่เพิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนคนอกหัก ส่วนแทฮยอนยังคงหัวเราะกับเรื่องต่างๆ ที่เพื่อนอีกสองคนขุดคุ้ยมาเล่าอย่างออกปากออกรส

แก้วที่สองยังคงยกรวดเดียวเหมือนเดิม ปกติความร้อนจะไหลลงสู่ท้องของคน เว้นเสียแต่วันนี้ที่การไหลเวียนของแอลกอฮอล์มันขึ้นไปกองรวมกันที่ใบหน้าและอกข้างซ้ายที่เต้นแรงจนคิดว่ามันจะเต้นจนหลุดออกมาข้างนอกเลยไหม

..หัวใจของเขาน่ะ

แม้จะโดนเพื่อนแซวว่าอาการที่ดื่มตอนนี้เหมือนกลบเกลื่อนความเขิน ปากอยากจะเถียงออกไปแต่มินโฮก็ทำเช่นเดิม เขาเถียงไม่ได้หรอกในเมื่อตัวเขาเองก็รู้สึกดีกับบทลงโทษนั้น




2013, August
11.58 PM

เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าวันใหม่ แต่คนที่อยู่ภายในลิฟต์กำลังร้อนรนกับการเคลื่อนตัวของลิฟต์ที่ช้ากว่าปกติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจร้อนหรือกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้กันแน่ เขาอยากจะโทษตัวเองขึ้นมาทันทีและย้ายห้องจากชั้นสิบห้ามาอยู่ชั้นเดียวกับล็อบบี้ไปซะเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลากับลิฟต์ที่คลานเหมือนเต่าอย่างนี้

หนึ่งนาทีสุดท้ายมินโฮวิ่งมาหยุดที่หน้าห้องพอดี สแกนคีย์การ์ดก่อนที่จะค่อยๆ แง้มประตูออกช้าๆ ไฟทุกดวงถูกปิดการใช้งาน เว้นแต่ไฟดวงเดียวในครัวที่ยังเปิดสว่างเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายอย่างการเดินเตะขอบโต๊ะ

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอดผ่านช่องว่างของประตูห้องนอน เขาเอื้อมมือเปิดประตูด้วยความกังวล อุณหภูมิที่ต่ำกว่าสิบห้าองศาไม่ได้ทำให้มือหนาหายชื้นจากความตื่นกลัว

ชุดเครื่องนอนคุมโทนด้วยสีขาวทั้งหมด ทำให้เห็นความแตกต่างได้ไม่ยาก เส้นผมที่โผล่ออกมาจากผ้านวมผืนสีขาวสะอาดกระจัดกระจาย กลิ่นหอมของยาสระผมและครีมอาบน้ำล่องลอยไปทั่วห้อง

เมื่อเห็นว่าหนึ่งร่างถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนหนาแล้ว ความรู้สึกกังวลก่อนหน้านั้นก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ขายาวทั้งสองข้างย่องก้าวเข้าห้องน้ำ ทำทั้งหมดด้วยความระมัดระวังกลัวว่าคนบนเตียงจะตื่นขึ้นมา

หลังจากชำระร่ายกายจนไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างแอลกอฮอล์และกลิ่นนิโคติน ไฟในห้องนอนกลับสว่างจากการทำงานของดวงไฟบนเพดานและหัวเตียง คนที่หลับไปก่อนหน้าลุกขึ้นนั่งเล่นโทรศัพท์พิงหัวเตียงด้วยสภาพไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

“เราเคยคุยกันไว้ว่ายังไง ลืมแล้วหรอ” น้ำเสียงปกติแต่เขากลับรู้สึกว่าครั้งนี้แฝงความเยือกเย็นด้วยไม่น้อย


“ถ้าวันไหนออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีอีกคนไปด้วย ต้องกลับไม่เกินเที่ยงคืน”
“เราก็แก้ปัญหาด้วยการไปด้วยกันสิ”
“ไม่หรอก เราอยากให้มินโฮใช้เวลาอยู่กับเพื่อนบ้าง”



“ไม่เคยลืมครับ”

“...”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ อุตส่าห์อาบน้ำเพื่อลดความกังวลก่อนหน้าก็ไม่ช่วยอะไร เมื่อคนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาอื่นนอกจากมือที่ยังไถหน้าจอโทรศัพท์อยู่

เหตุที่มินโฮต้องกลับดึกเพราะวันนี้พวกเขาฉลองโปรเจ็คที่ผ่านลุล่วงไปด้วยดี ความจริงตกลงกันว่าต้องกลับหลังเที่ยงคืน แต่มีเขาคนเดียวขอกลับมาก่อน เขารักษาคำพูดแต่มักโดนเพื่อนคนอื่นแซวว่ามันเป็นอาการของคนกลัวเมีย

“ทะ..แทฮยอนจ๋า”

ไม่ได้กลัว เขาเรียกว่าเกรงใจและให้เกียรติซึ่งกันและกันต่างหาก

ไลฟ์สไตล์ที่แทบจะไม่ต่างกันมาก และอีกหลายเรื่องทำให้ทั้งคู่คุยกันถูกคอและถูกใจกันในที่สุด คนที่พูดน้อยในวันแรกที่รู้จักกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเขาคบในฐานะคนรัก แม้ภายนอกอาจจะดูแปลกในสายตาคนอื่น แต่ ณ เวลานั้นมินโฮเองก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจตัวเองได้เช่นกัน

จากห้องที่อยู่คนเดียวมาตลอด ก็เพิ่มสมาชิกจากหนึ่งเป็นสอง ตั้งแต่แทฮยอนย้ายเข้ามาอยู่ห้องนี้ด้วยกัน มันเป็นความสุขที่มินโฮเองก็ไม่สามารถที่จะกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ สุดท้ายเขาก็กักเก็บความสุขที่ล้นออกมาไม่ไหว


“แทฮยอน กล่องที่ใส่เครื่องประดับตรงนี้หายไปไหนแล้ว”

“ไม่ได้หาย มินโฮเอาไปใส่ของตัวเองหมดแล้วต่างหาก”

“แล้วมีกล่องว่างเหลือบ้างไหม”

“คิดว่าไม่น่ามีนะ”

“...”

“แต่มือข้างนี้มันดูว่าง ๆ ยังไงไม่รู้ มินโฮจะเอาอะไรมาฝากไว้ที่เราก่อนหรือเปล่าล่ะ”

“หืม โดนหลอกให้ขอแต่งงานหรอเนี่ย” มินโฮหลุดขำให้กับคำพูดของคนรัก

“เห้ย ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลย”

“...”

“แต่ก็อย่างว่า ลูกมีพ่อมีแม่อย่างเราถ้าจะจองไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย จริงไหม”



สิ่งหนึ่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง มือหนายื่นออกไปตรงหน้า คิ้วของคนที่นั่งเอาหลังพิงหัวเตียงเริ่มลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเรียบนิ่งถูกความสงสัยที่มีเข้ามาบดบังแทน เมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มส่งสายตาคาดคั้นกลับมาเขาจึงยอมคลายมือออก 

แหวนทองคำขาวเพิ่มลูกเล่นจากการฝังอัญมณีสีฟ้าน้ำทะเลอย่าง อะควอมารีน สั่งทำพิเศษไว้เพื่อนัมแทฮยอนคนรักของซงมินโฮ


“แต่งงานกันนะ..”


ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากที่มินโฮลุ่มหลง มีเพียงจูบเดียวที่แทฮยอนมอบให้เขา พร้อมกับดวงตาที่สั่นไหวและคลอไปด้วยน้ำสีใส แค่นั้นก็ถือว่าเป็นคำตอบสำหรับมินโฮได้เแล้วล่ะมั้ง 

มือหนาสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายให้อีกคนอย่างบรรจง เลือกโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับอัญมณี คิดอย่างเดียวว่าแบบไหนเหมาะกับมือขาวนั่นมากกว่า รอยยิ้มผุดขึ้นยังมุมปากของมินโฮ ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่เคยทายผิดเลยสักครั้ง

คราบน้ำตาถูกซับด้วยริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบาราวกับว่าถ้าเพิ่มน้ำหนักเขาไปแก้มใสนั้นจะเกิดรอยช้ำได้ง่าย ขนตายังเปียกชื้นแต่รอยยิ้มบนหน้าแทฮยอนบ่งบอกได้ว่าไม่ใช่แค่เขาที่มีความสุข

“เข้าใจเปลี่ยนเรื่องนะ” แทฮยอนท้วง

มินโฮหลุดขำให้กับประโยคของคนรัก มือหนาคว้าเอวเข้ามาแนบชิดตนเองโดยมีอีกฝ่ายให้ความร่วมมือด้วยการนำศีรษะมาซบลงที่อกแข็งจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  แทฮยอน ณ เวลานี้ก็ไม่ต่างจากแมวตัวหนึ่งที่กำลังออดอ้อนเจ้าของ ศีรษะที่ควรจะอยู่นิ่งก็ถูไถไปมา ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น มินโฮคงต้องเอ่ยปรามเสียก่อน

“พอได้แล้วน่า..”

ลูกแมวหยุดชะงักเมื่อโดนเจ้าของเอ็ดใส่ แต่ก็เป็นแค่เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เจ้าแมวตัวเดิมก็เปลี่ยนเป็นใช้อวัยวะอีกอย่างแทน ลิ้นเล็กตวัดลงบนยอดอกของมินโฮอย่างละเมียด ลอบทำให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าของรู้สึกตัว 

ความเสียวกระสันเริ่มเพิ่มมากขึ้น เมื่อลูกแมวตัวน้อยไล้เลียต่ำลงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขอบกางเกงวอร์มที่มินโฮชอบใส่ตอนนอน ตอนนี้ลูกแมวกำลังค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

สายตาที่แฝงเลศนัยต่างจากตอนแรกจดจ้องมองมาที่เขา จนหยุดลงที่ริมฝีปากคล้ำจากการรับนิโคติน ลิ้นเล็กแลบเลียริมฝีปากตนเองจนวนกลับมายังจุดเดิม ฟันขาวขบลงบนขอบกางเกงโดยไม่ละสายตาออกจากกัน

นี่มันไม่ใช่ลูกแมวแล้ว แม่เสือชัดๆ !!!




2016, January

ตอนนี้งานวิวาห์ของมินโฮและแทฮยอนกำลังอยู่ขั้นตอนในการวางแผน และใช้ความคิดร่วมกันสำหรับสถานที่และธีมงาน ยังไม่รวมรายละเอียดของการ์ดและของชำร่วย แน่นอนว่ามันเป็นงานครั้งแรกและคงไม่มีอีกเป็นครั้งสอง พวกเขาทั้งคู่จึงตั้งใจเพื่อให้งานออกมาดีอย่างใจหวัง

แต่เนื่องด้วยเป็นงานสำคัญทำให้เริ่มมีปัญหาตามมาอีกหลายอย่าง อย่างที่ใครเคยบอกมาว่าบางคู่รักกันดีก็สามารถเลิกกันก่อนงานแต่งได้ไม่กี่วันเพราะความไม่เข้าใจ การที่เรารู้จักนิสัยและตัวตนอีกฝ่ายดีแค่ไหนก็ไม่ได้แปลว่าเราจะกลายเป็นคนๆ เดียวกัน

ทุกเรื่องที่เข้ากันได้ดี อาจมีบางเรื่องที่ทำให้เราแตกหักกันได้ใครจะไปรู้ ขนาดบางคู่ที่รักกันมาหลายปีก็เลิกกันได้เพราะคำว่าไม่เข้าใจก็เยอะแยะไป

อีกสองเดือนก็จะถึงวันสำคัญทำให้ช่วงนี้พวกเขาไม่ได้พูดคุยมากเหมือนเดิม ด้วยตารางงานและการจัดเตรียมทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง เวลาหลังพลบค่ำคงเป็นช่วงเวลาที่เจอหน้ากันมากที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นชีวิตของเขาทั้งคู่ก็วนกลับดังเดิม เป็นแบบนี้มาร่วมเดือนกว่า

ใบหน้าที่ดูอิดโรยของแทฮยอนขณะที่ยังหลับอยู่ทำให้มินโฮอดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ทานข้าวตรงเวลาไหม หรือมัวแต่ดื่มกาแฟอย่างเดียว ร่างกายที่ดูซูบลงเพียงเล็กน้อยก็ไม่พ้นสายตาเขา มือหนาปัดผมที่บังใบหน้าออกอย่างแผ่วเบา กลัวว่าคนที่กำลังอยู่ในนิทราจะตื่น ขอบตาที่เริ่มคล้ำจากการอดหลับนอน แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเดิมแต่ก็รับรู้ว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุ่มเทกับงานครั้งนี้ไปมากกว่ากัน

ริมฝีปากสีแดงสดราวกับผลแอปเปิ้ลถูกช่วงชิมราวกับเป็นสิ่งที่เพิ่มพลังเหมือนป๊อบอายที่ยังต้องกินผักโขมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและพลังมหาศาล

เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นเมื่อถูกรุกรานการพักผ่อน อาจเป็นเพราะป๊อบอายคนนี้กำลังเปลี่ยนมาลุ่มหลงผลแอปเปิ้ลอย่างหนักหน่วงจึงทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เมื่อรู้ว่าเป็นคนรัก แทฮยอนเลยยิ้มออกมา

มินโฮไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของแทฮยอนนั้นผ่านมานานเท่าไหร่ พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้นอนกอดกันอย่างคืนนี้มากี่คืนแล้ว แม้กายจะมีความเหนื่อยสะสม แต่ในใจนั้นกลับชุ่มชื้นด้วยรอยยิ้มของอีกฝ่าย

“ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้” มินโฮเอ่ยออกมาพร้อมกับซบลงที่ลาดไหล่ของแทฮยอน

“ก็งานครั้งเดียวในชีวิตนี่ ไม่เหนื่อยก็แปลกแล้ว” น้ำเสียงที่ดูเหน็ดเหนื่อยของแทฮยอนแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นจากมือขาวที่กำลังลูบหลังให้เขา มินโฮถอนหายใจเล็กน้อย

“เหนื่อยหรอ” แทฮยอนถาม เขาส่ายหน้า

“ถ้าจะนอนต้องไปอาบน้ำก่อน เหม็นละ..”


“เราเลื่อนงานออกไปก่อนดีไหม” 

ใบหน้าที่เคยดูสดใสตอนนี้กลับตรงข้ามเพราะเป็นห่วงที่อีกฝ่ายหักโหมมากเกินไปจนเผลอพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรหลุดออกมามากที่สุด

“...”

อาจเป็นเพราะทั้งเขาและแทฮยอนพักผ่อนน้อยการสื่อสารเมื่อสักครู่จึงทำให้อีกฝ่ายตีความหมายผิด หรือสติที่ครบถ้วนหลุดไปพร้อมกับประโยคแรกที่มินโฮเอ่ยออกมา แทฮยอนยังคงนิ่งและภายในใจยังคงคิดมากกับประโยคของเขาอยู่

“ไม่อยากแต่งแล้วหรอ..”  แทฮยอนพึมพำออกมา

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” แต่เหมือนว่าสิ่งที่มินโฮอธิบายออกมาภายหลังไม่เข้าหัวของแทฮยอนแม้แต่คำเดียว  

จนกระทั่งเมื่อเขาได้เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายไหลออกมา ความรู้สึกผิดก่อขึ้นมาทันที จากที่คิดว่าคืนนี้กำลังผ่านไปด้วยดีและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นขึ้นหลังจากห่างมาหลายวันก็ต้องพังลงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาคนเดียว 

ขณะที่กำลังจะยกคำอธิบายก็โดนอีกฝ่ายขัดขึ้นมาก่อน

“ก็ดีเหมือนกัน”

“...”

“ระหว่างนี้มินโฮก็กลับไปคิดด้วยว่ายังอยากมีงานนี้ด้วยกันอยู่ไหม”

“...”

“กลับไปคิด ว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่อยากแต่งงานกับมินโฮ” หยดน้ำตาร่วงหล่นมาพร้อมกับที่อีกฝ่ายลุกออกจากห้องนี้ไป เสียงเปิดประตูดังมาจากห้องรับแขกอีกห้องและถูกปิดลงในเวลาต่อมา




“เบาหน่อยเว้ย เหลือให้พวกกูกินบ้าง”  มินโฮไม่สนใจเสียงโหวกเหวกของฮยอนแท เมื่อเห็นว่าเขาหยิบขวดบรั่นดีขวดที่สองกรอกใส่ปากโดยไม่ผ่านแก้วสักใบ

มินโฮไม่ได้กลับห้องมาหลายวันนับตั้งแต่คืนนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนสองคนที่จะมีข่าวดีด้วยกัน แต่ดันมีคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ เกิดไม่แน่ใจว่าสมควรมีงานนี้ขึ้นมาหรือเปล่า ไม่ใช่เพราะไม่ได้รักหรือไม่อยากแต่งงาน แต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก หรือเขาแค่สวมแหวนให้แทฮยอนต่อหน้าพ่อแม่อีกฝ่ายแค่นั้นก็พอ เราอาจไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ก็ได้

เพราะความคิดที่เห็นแก่ตัวจนลืมนึกถึงจิตใจของอีกฝ่าย เขาเลยเอ่ยออกไปโดยไม่ทันคิด กว่าจะรู้ตัวว่าแทฮยอนผิดหวังกับคำพูดของเขามากแค่ไหนก็เมื่อตอนได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในตอนเช้า ใบหน้าอิดโรยเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอ บวกกับรอบตาที่ช้ำจากการร้องไห้มาทั้งคืน


ขอโทษ 


คำพูดที่อยากบอกออกไปแต่ก็ไม่ทัน แทฮยอนไม่แม้แต่จะหันมาสบตาหรือเอ่ยคำทักทายยามเช้าอย่างเคย ปัญหาที่เกิดขึ้นมินโฮจึงนำมาให้เพื่อนทั้งสองช่วยเหลือ ไม่ใช่คิดเองไม่ได้ แต่เพื่อความแน่นอนและไม่มีอะไรผิดพลาดอีก อย่างที่บอกว่าการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่

“ถ้าไม่อยากเป็นเจ้าบ่าว ก็บอก กูจะได้ไปเป็นให้” ฮันเฮเสนอตัว

“คิดอะไรมากวะ ก็กลับไปง้อเขา คุยกันด้วยเหตุผล กูรู้ถ้ามึงไม่อยากแต่งงานมึงคงไม่ปล่อยเวลาให้มาถึงขนาดนี้หรอก” คนที่ให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นจีฮุน

“เออกูเห็นด้วย กลับไปง้อเมียนู่นอยู่นี่ก็เปลืองเหล้ากูชะมัด” ถ้าให้เลือกระหว่างความเป็นเพื่อนกับแอลกอฮอล์ มินโฮทราบดีว่าเพื่อนคนนี้จะให้คำตอบเขาในทางไหน

แม้ว่ายังมีปัญหาที่ค้างคาใจกันแต่แทฮยอนก็ยังส่งรูปมาบอกมินโฮในข้อความว่าวันนี้เวลานี้ไปที่ไหน ทำอะไรอยู่ จะต่างจากก่อนหน้านี้ก็ตรงที่มีแต่รูปเท่านั้น แม้มินโฮจะพิมพ์ตอบกลับไปก็ไม่มีข้อความอะไรพิมพ์กลับมา เช่นล่าสุดที่เขาถามว่าแทฮยอนอยู่ที่ไหน ก็มีรูปส่งกลับมาทันที ไม่ต้องบอกสถานที่มินโฮก็รู้ตัวว่าควรตามไปหาแทฮยอนได้ที่ไหน  

อีกฝ่ายส่งรูปตอนลองชุดแต่งงานในห้องเสื้อร้านแรกที่เขาทั้งคู่มีความเห็นตรงกัน คนที่เป็นเจ้าบ่าวอย่างเขาไม่รู้ก็คงแปลกพิลึก

มินโฮบอกลาเพื่อนเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมาขึ้นรถที่จอดไว้ด้านหน้า เสียงตะโกนของฮยอนแทแทรกเข้ามาตอนที่กำลังปิดประตูรถพอดี เขาไม่ได้ใส่ใจว่าเพื่อนจะบอกอะไร คงไม่พ้นการด่าเขาอีกตามเคย มือทั้งสองพิมพ์ข้อความกลับไปหาคนรัก เท้าขวาเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวเพื่อไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

ความใจร้อนทำให้มินโฮไม่สนใจสิ่งใด และไม่มีใครรู้ว่าคำเตือนนั้นจะเป็นจริง



Statice Side
After 2 months

แทฮยอนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงานก่อนอายุสามสิบ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือคนที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยดันเป็นผู้ชาย เขาคบกับซงมินโฮมาตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนปีหนึ่ง เราตกลงคบหากันในฐานะแฟนทั้งที่ไม่รู้จักนิสัยส่วนตัวกันแทบด้วยซ้ำ

โชคดีที่เข้ากันได้กว่าที่คิด แต่ความเข้ากันได้ของเรามักจะมีความขัดแย้งจากเรื่องเล็กน้อยซะส่วนใหญ่ อย่างเช่นมินโฮชอบกินอาหารญี่ปุ่นจำพวกปลาดิบ แต่แทฮยอนแพ้พวกอาหารทะเล

ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสิ่งที่สัมผัสไม่ได้หรือแนวขวัญผวาเป็นประเภทที่เขาโปรดปราน แต่อีกคนกลับกลัวจนนึกว่าเขากำลังนั่งดูกับเด็กประถม เสื้อผ้าในตู้ส่วนมากจะเป็นโทนมืด สีที่ดูมืดมนและปนไปด้วยความโศกเศร้า แต่แทฮยอนไม่เคยเห็นด้วยเมื่อซงมินโฮใส่เสื้อผ้าพวกนั้น

สิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้เป็นช่อดอกไม้ที่เขาตั้งใจซื้อดอกไม้สองอย่างมาจัดช่อเอง ดอกสีม่วงอย่างสแตติสล้อมรอบดอกกุหลาบสีขาวสามดอก เมื่อมองแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ พวกเขาทะเลาะกันได้แม้แต่เรื่องของดอกไม้ที่จะนำมาจัดงาน

แทฮยอนเลือกดอกสแตติสเพราะส่วนมากมักนำมาประดับภายในงาน เหตุผลอีกอย่างคือเป็นสีที่เขาหลงใหล ส่วนคนที่ไม่โรแมนติกอย่างซงมินโฮกลับเลือกดอกกุหลาบขาว ดูขัดกับเจ้าตัวมากซะทีเดียว


“กุหลาบสีขาวน่ะเหมาะกับแทฮยอนที่สุดแล้ว”


เมื่อนึกถึงอย่างใดอย่างหนึ่ง ความทรงจำทั้งหมดระหว่างเขากับมินโฮก็หลั่งไหลเข้ามา เป็นความทรงจำที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็อดยิ้มกับให้ความสุขที่เปี่ยมล้นนั้นไม่ได้ จนดวงตานั้นคลอไปด้วยน้ำสีใส เขาบอกกันว่าคนเรามักจะร้องไห้ให้กับสองเหตุการณ์ ถ้าไม่เสียใจนั่นก็แปลว่าเรากำลังมีความสุขกับสิ่งนั้นมากๆ


สุขจนลืมว่าเคยมีเรื่องทุกข์


สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าเวลาได้หยุดลง แต่สายลมที่พัดตลอดเวลาก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ฝันไป ใบหญ้าสีเขียวชอุ่มที่อยู่ใต้รองเท้าและตามข้างทางกำลังปลิวไสว เมื่อใกล้ถึงจุดหมายอัตราการเต้นของหัวใจเริ่มช้าลงจนกลัวว่ามันจะหยุดไปซะดื้อๆ


“อากาศบนเขาดีกว่าทะเลอีก แถมไม่ร้อนและเหนียวตัวเหมือนลมทะเลด้วย”

“ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย”

“งั้นก็รู้หน่อยสิว่าที่พูดมาเนี่ย คืออยากให้แทฮยอนไปด้วย”



ซุ้มดอกไม้ที่พวกเขาทะเลาะกันหลายวันว่าควรนำดอกอะไรมาประดับ จำนวนเก้าอี้สำหรับครอบครัวและคนสนิท วงดนตรีแจ๊สที่เป็นรุ่นน้องของมินโฮกำลังบรรเลง และที่ขาดไม่ได้เลยคือคนดำเนินพิธีการอย่างบาทหลวง

ภาพในจินตนาการหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดมา เมื่อขาก้าวมาหยุดอยู่หน้าแท่นหินขนาดใหญ่

ไม่มีซุ้มดอกไม้นอกจากช่อเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือ

ไม่มีเก้าอี้นอกจากแท่นหินที่ทรงเหมือนๆ กัน

วงดนตรีแจ๊สที่เปลี่ยนจากเครื่องดนตรีเป็นเสียงใบไม้ที่เกิดเสียงจากลมเบา ๆ

ไม่มีบาทหลวง ไม่มีพิธีวิวาห์

มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในที่แห่งนี้ และตัวแทนของมินโฮอย่างแหวนทองคำขาววงนี้


ICI REPOSE
SONG M
19xx-2016


มือขาวหยิบช่อเก่าที่เหี่ยวแห้งออกมา และปัดทำความสะอาดก่อนที่จะนำช่อใหม่ไปวางทับที่เดิม ความทรงจำที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัวทำให้แทฮยอนกลั้นความเสียใจที่มีไว้ไม่ไหว แม้จะไม่เท่าวันแรกแต่ก็มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป

กลุ่มก้อนสีขาวที่ไม่มีทีท่าจะก่อรวมกันเป็นเมฆครึ้ม นักอุตุนิยมวิทยาที่คาดเดาว่าบรรยากาศวันนี้สดใสและปลอดโปร่งคงต้องกลับคำพูด เมื่อตอนนี้มีสายฝนกำลังร่วงหล่นมาจากที่ไหนสักแห่งอย่างหนักหน่วง

ไม่ใช่บนฟ้าแต่เป็นอกข้างซ้ายของเขา

ประวัติการคุยล่าสุดในห้องแชทยังเป็นข้อความจากอีกฝ่ายที่ส่งมา แม้ว่าแทฮยอนจะตอบกลับไปหรือไม่เขาก็รู้ดีว่ามินโฮไม่มีวันตื่นขึ้นมาอ่าน เขามักจะเอ่ยประโยคบอกรักออกมาเมื่อวางช่อดอกไม้ลงหน้าป้ายชื่อคนรัก หวังว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้

อาจจะเป็นบนฟากฟ้าทิศใดทิศหนึ่ง

“อยู่ข้างบนนั้น สบายดีไหม” ประโยคถัดจากการสารภาพรักเป็นการถามไถ่การใช้ชีวิตประจำวันแม้อีกคนจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่แทฮยอนก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนคำถาม

“แผลพวกนั้นยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

“...”

“ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

“...”

“เราก็จะพยายามดูแลตัวเองให้ดีเหมือนที่มินโฮทำให้เราเหมือนกัน”

“...”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” มือข้างขวาที่ว่างจากการวางช่อดอกไม้ลงแล้ว ยกขึ้นมาลูบไล้แหวนอย่างโหยหา เครื่องประดับชิ้นสุดท้ายที่มินโฮมอบแก่เขา




“ถามอะไรหน่อยสิ ทำไมเลือกอะควอมารีนล่ะ”

“ชอบ”

“แค่นี้หรอ?”

“ชอบก็คือชอบ ชอบเพราะว่าคิดว่ามันต้องเหมาะกับแทฮยอนแน่ๆ”

“ซื่อบื้อซะไม่มี นึกว่าจะบอกความหมายที่โรแมนติกกว่านี้เสียอีก”

“ในชีวิตนี้กล้าขอลูกคนอื่นแต่งงานก็ถือว่าโรแมนติกมากแล้วเหอะ”

“...”

“ถ้าโลกนี้ไม่มีแทฮยอน เราก็ไม่แต่งงานแน่นอน”


แล้วโลกที่มันไม่มีมินโฮล่ะ เขาจะอยู่อย่างไร



ความทรงจำอันสวยงามในอดีตแล่นกลับมาทำร้ายเสมอ และแทฮยอนก็พ่ายแพ้ให้กับมันตลอดเมื่อยังมีมินโฮอยู่ในนั้นเต็มหัวใจ เหมือนประโยคในหนังสือเล่มโปรดของเขาที่บอกไว้ว่า

“ความสุขที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมจบลงอย่างรุนแรง” - (quotes from Romeo and Juliet by William Shakespeare)

ความรักของเขามันยังไม่จบลงเสียหน่อย มันก็แค่จากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา  ..แบบนี้มันรุนแรงกว่าต่างหาก






Message from MINHO
2 months ago


รออยู่ที่นั่นล่ะ กำลังไปหา

“ขอโทษเรื่องคืนนั้นด้วย แล้วก็..”

พี่รักแทฮยอนมากนะ







------------------- [WE WERE] -----------------




writer : @sxxblue_




#510330tracks

track, beating and them







Comments

Popular posts from this blog

[ Take me out ] - END

[ NO ] : Spotless Mind

[ Take me out ] - 01