[AIR] : Infiltrate
Infiltrate
ควันขาวลอยขึ้นจากปากแก้วมัคเซรามิกในมือ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นแตะจมูกเป็นหนึ่งในความเพลิดเพลินยามเช้า
เป็นแค่สิ่งหนึ่ง
เบื้องหน้าเขาเป็นบ้านเรือนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ไม่มีตึกสูงบดบังแสงจากดวงอาทิตย์หรือกระแสลมที่พัดผ่าน ถนนเส้นนี้ค่อนข้างเงียบ หากมีใครที่เดินผ่านเป็นประจำ เขาคงคุ้นตา
จะว่าไปก็มีแค่คนๆ นั้น
..อีกหนึ่งความเพลิดเพลินยามเช้า
..อีกหนึ่งความเพลิดเพลินยามเช้า
06.45 น.
ซงมินโฮวางแขนตรงขอบระเบียงห้องบนชั้นสองของอพาร์ทเม้นท์เหมือนที่ทำเป็นประจำ
ร่างสูงโปร่งก้าวไม่เร็วนักแต่เป็นจังหวะสม่ำเสมอวิ่งมาตามเส้นทางลาดชันของเนินเขา ผมที่ถูกแสกกลางสะบัดตามแรงลม สายตามองไปข้างหน้า ดูเหมือนพยายามควบคุมลมหายใจไม่ให้เข้า-ออกเร็วเกินไป สูดเอาอากาศเย็นสดชื่นเข้าไปจนเต็มปอดและผ่อนลมหายใจออกมา แก้มขาวเรื่อสีแดง คงวิ่งมาสักระยะหนึ่งแล้วก่อนจะมาถึงตรงนี้
เขาสูดลมหายใจเหมือนที่ผู้ชายคนนั้นทำ ความเย็นไหลเวียนเข้าสู่ปอดทำให้ตื่นเต็มตายิ่งกว่ากาแฟในมือ
ตั้งแต่เมื่อไหร่..
อาจจะเป็นในวันที่ความหนาวอ่อนแรงลงเหลือเพียงความเย็น ในวันที่พระอาทิตย์พร้อมทำงานเร็วกว่าช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ใครคนหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในสายตาและยืดเวลาการยืนตรงระเบียงให้นานขึ้นอีกนิด
ผู้ชายผมแสกกลางโผล่มาในเวลาใกล้เคียงกันทุกครั้ง ไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยจนทำให้เผลอเฝ้ารอ
ช่วงแรกมาในเสื้อฮู้ดสีเทาและกางเกงวอล์ม ใบหน้าถูกซ่อนไว้ในฮู้ดและหน้ากากสีขาว คงเป็นเพราะช่วงนั้นอากาศยังเย็นอยู่มาก แต่เมื่ออากาศอุ่นขึ้นเสื้อตัวหนาเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดง่ายๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่มีลักษณะเฉพาะ คิ้วบางที่ปลายชี้ลง ดวงตาเรียวรี จมูกโด่ง ปากสีชมพูอ่อนและผิวขาวจัด องค์ประกอบทั้งหมดนั่นดึงดูดสายตา
ช่วงแรกมาในเสื้อฮู้ดสีเทาและกางเกงวอล์ม ใบหน้าถูกซ่อนไว้ในฮู้ดและหน้ากากสีขาว คงเป็นเพราะช่วงนั้นอากาศยังเย็นอยู่มาก แต่เมื่ออากาศอุ่นขึ้นเสื้อตัวหนาเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดง่ายๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่มีลักษณะเฉพาะ คิ้วบางที่ปลายชี้ลง ดวงตาเรียวรี จมูกโด่ง ปากสีชมพูอ่อนและผิวขาวจัด องค์ประกอบทั้งหมดนั่นดึงดูดสายตา
เจ้าตัวจะคิดไหมว่าตลอดเส้นทางมีตากี่คู่ที่หันมอง
อืม..อย่างน้อยก็เขาคนนึง
ถ้าให้เดาคงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ท่าทางไม่เหมือนนักวิ่งที่จะลงแข่ง อาจจะอยากลดความอ้วน? ไม่น่าใช่ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นผอมบางแต่ก็สูงเพรียวสมส่วน
คนที่อยู่ทั้งตรงหน้าและในความคิดสะดุดอากาศเซลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ริมทาง สะดุด ‘อากาศ’ จริงๆ ตรงนั้นเป็นทางราบไม่มีอะไรขวางทางสักอย่าง
“หึ”
จากความตกใจในวูบแรกแต่ความคิดนั้นทำให้หลุดขำ และมันคงจะดังเกินไป ดังมากพอจะทำให้คนที่ยังนั่งอยู่หันควับขึ้นมาทันที
“เฮ้!” คนๆ นั้นขมวดคิ้วจนหางคิ้วตกลงกว่าเดิมและชี้มาที่เขา
“ลงมาช่วยเลย”
เขาเลิกคิ้วชี้ที่ตัวเอง
“คุณนั่นแหละ นิสัยเสีย ตลกนักหรือไงถึงหัวเราะมาได้”
สายตาคาดโทษนั่นทำให้ต้องวางแก้วกาแฟแล้วเดินลงบันไดไปยืนอยู่ข้างๆ คนที่กำลังยัดเท้าลงไปในรองเท้ากีฬาแบรนด์ดังหลังจากถอดออกมาดูสภาพมันก่อนที่เขามาถึง
“เป็นอะไรมากมั้ย”
มือขาวที่มีรอยหมึกสีดำเขียนคำว่า apollo บนหลังมือยื่นมาให้
“ช่วยหน่อยสิครับ จะลุก”
เขาจับมือข้างนั้น เกร็งแขนจนเห็นเส้นเลือดพาดชัดเมื่ออีกคนยึดเอาไว้เป็นหลักยันตัวเองขึ้นมา และต้องตวัดแขนอีกข้างโอบเอวเอาไว้เมื่อยืนขึ้นมาแล้วทรงตัวไม่อยู่
“โอ๊ะ!”
ฝ่ายนั้นจับต้นแขนเขาไว้ จิกเล็บเข้าไปในผิวสีแทน ภาพออกจะหมิ่นเหม่หน่อยๆ ก็มันใกล้เกินไปขนาดที่ได้กลิ่นหอมจากซอกคอขาวที่จ่อปลายจมูก
กลิ่นโทนเย็น สดชื่นเหมือนอากาศตอนนี้
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงหัวใจของใครดังวะขนาดนี้ หวังว่าไม่ใช่ของตัวเอง
มันไม่เป็นอย่างที่หวัง
ชั่ววินาทีหลังจากทรงตัวได้ร่างบางก็ขยับห่างออก
“ขอบคุณ”
เอ่ยโดยไม่มองหน้ากัน ออกวิ่งเข้าไปในซอยใกล้ๆ คนละทางกับขามาและไม่ใช่ทางที่มุ่งหน้าไปประจำ
วิ่งได้ขนาดนั้นคงไม่เป็นไร
วันรุ่งขึ้นเขาใช้เวลาละเลียดกาแฟที่ริมระเบียงนานขึ้น
วันต่อมาก็ด้วย
ถัดไปอีก 2 วัน
..3 ..4 ..5
จนครบอาทิตย์ที่ไม่มีคนคุ้นตาวิ่งลงมาจากเนินเขา
ทั้งที่ไม่ได้วิ่งทุกวัน แต่ไม่เคยหายไปนานแบบนี้
บรรยากาศยามเช้าเปลี่ยนไปนิดหน่อยเหมือนไม่ครบองค์ประกอบของมัน
เขาถอนหายใจ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง วางแก้วมัคลงในซิงก์ พับแขนเสื้อเชิ๊ตขึ้นแล้วเปิดน้ำเพื่อลงมือล้างคราบสีน้ำตาลเข้ม คว่ำมันลงบนชั้น หันไปคว้าเน็กไทด์มาผูก หยิบกระเป๋าและกุญแจรถเดินออกจากห้อง ขับรถไปตามเส้นทางร่มรื่นมุ่งหน้าสู่ย่านใจกลางเมือง
เวลาทำงานของเขาเริ่มต้นขึ้นที่นั่น
ใครจะคิดว่าจะได้เจอเด็กหนุ่มคนนั้นกลางดึก เขาเปิดประตูลงมาจากรถหลังจอดมันไว้ริมรั้วอพาร์ทเม้นท์ ร่างสูงโปร่งเดินเลียบริมกำแพงไม้เลื้อยช้าๆ เหมือนเราเดินเคียงข้างกันแค่มีกำแพงกั้น
มินโฮได้ยินเสียงพูดพวกนั้น
“กูเข้าหอไม่ทัน”
“2 นาทีสัส พี่พร้าวแม่งปล่อยกูหน้าหอแล้วขับออกไปเลย ไม่สนว่ากูเข้าได้ป่าว”
“เดินมาจะถึงห้องมึงแล้วเนี่ย”
“ดึกเลยเหรอ”
“เออๆ รออยู่แถวนี้แหละ”
มินโฮส่ายหัวให้ตัวเองที่เดินเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนจะตัดสินใจหยุดความอยากรู้อยากเห็น
เขาจะสนใจไปทำไม
แถวนี้ที่ว่าคือฝั่งตรงข้ามอพาร์ทเม้นท์ ริมถนนเส้นเดิมที่อีกคนวิ่งผ่านเป็นประจำ
อุณหภูมิลดลงหลายองศาหลังพระอาทิตย์ตก แต่ผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ๊ตสีดำปลดกระดุมถึงสองเม็ดเหมือนตั้งใจโชว์รอยสักเลอะๆ บนหน้าอกขาวกลับยืนเล่นโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น อย่างมากก็เพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองด้วยการยกมือขึ้นกอดอก
เราสบตากันพอดีในตอนที่คนข้างล่างมองขึ้นมา
ใช่.. เขายืนอยู่ตรงระเบียง
ฝ่ายนั้นก้มหน้าลงทันที ยกมือเสยผมยาวปรกหน้านั่นขึ้นเหมือนไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้นให้ทำ
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ซงมินโฮมาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนเล่นโทรศัพท์ คงเพราะเงาที่ทอดยาวบนพื้นเคลื่อนเข้าไปใกล้ทำให้ใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้นมามอง
“คุณจะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอไง”
“ผมแค่รอเพื่อน”
ในมือข้างซ้ายมีเบียร์เย็นจัดสองกระป๋องอยู่ระหว่างนิ้วเรียวสวย เขายื่นหนึ่งในนั้นให้อีกคนเพื่อผูกมิตร อย่างน้อยเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันหรอกใช่มั้ย
ป๊อก! กระป๋องแรกถูกเปิด
ป๊อก! กระป๋องที่สองถูกเปิดตาม
เรายกมันขึ้นดื่มพร้อมกัน
“ไม่วิ่งแล้วเหรอ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า ชี้ลงไปที่เท้า “หมอให้พักทั้งอาทิตย์”
“สรุปบาดเจ็บ? แล้ววันนั้นวิ่งหนีทำไม”
“...”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจ่อริมฝีปาก ดันก้นกระป๋องขึ้นรินของเหลวสีเหลืองทองลงคอ
“ตอนนี้เป็นไง”
“ดีขึ้นแล้ว เดินได้ปกติ”
“เพื่อนคุณจะกลับมาเมื่อไหร่”
“มันบอกอีกสักชั่วโมง..มั้ง”
“ขึ้นไปรอข้างบนมั้ย”
ตาเรียวรีคู่นั้นฉายแววแปลกใจ มันก็น่าแปลกอยู่หรอกเขายังแปลกใจตัวเองเลย
“คุณนี่แปลกชะมัดชวนคนไม่รู้จักขึ้นห้องได้ง่ายๆ”
“เหมือนที่วันก่อนคุณให้ผมลงมาช่วย..แต่ก็หนีไปดื้อๆ”
ริมฝีปากบางสวยเม้มเข้าหากัน เหลือบตามองเขาเหมือนขอความแน่ใจ
“ว่าไง อยู่ตรงนี้ไม่หนาวเหรอ”
ชั่ววูบนั้นมีลมพัดเอาอากาศเย็นมาตอกย้ำคำพูด พัดเอากลิ่นน้ำหอมของอีกคนมาแตะจมูกเขาด้วย กลิ่นที่คิดว่าเหมาะกับยามเช้าในวันนั้น
..มันเหมาะกับช่วงเวลานี้ด้วยเหมือนกัน
“อือ รบกวนด้วยครับ”
นัมแทฮยอน..เด็กหนุ่มคนนั้นบอกชื่อเมื่อก้าวเข้าห้อง
นักศึกษาคณะศิลปกรรม สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ปี 4 เทอมสุดท้าย ทำตัวเอ้อระเหยมาสักพักหลังจบฝึกงานในขณะที่เพื่อนสนิทซึ่งอยู่คณะอื่นยังคงเร่งโปรเจคจบ เป็นเหตุผลให้ต้องมารอแบบนี้
มินโฮนั่งฟังแทฮยอนพูดเจื้อยแจ้วเล่าถึงประสบการณ์การทำงาน
“พี่พวกนั้นน่ะตลก มาทำงานเร็วสุดก็ 11 โมง วันแรกผมไปถึง 9 โมงนี่เหวอเลย นั่งเอ๋ออยู่เกือบ 3 ชั่วโมง หลังๆ มาก็เลยไม่รีบไปแล้ว”
“แต่คุณก็ตื่นเช้านี่” อย่างช้าก็คง 6 โมงครึ่งแน่ๆ
“ก็มันอยากตื่น”
ไม่มองหน้ากันอีกแล้ว
“มาหาแรงบันดาลใจ”
แทฮยอนยกเบียร์ที่เหลือก้นกระป๋องกระดกจนหยดสุดท้ายแล้ววางมันลงบนโต๊ะ
“แล้วคุณล่ะทำอะไร”
“แบงก์เกอร์”
“หืออ”
ทำไมทำเสียงเหมือนไม่เชื่อล่ะ
“ไม่เห็นเหมือนสักนิด”
“แล้วต้องเป็นยังไง”
แทฮยอนมองหน้าเขา มองร่างกายโดยรวมที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ก็ต้องเนี้ยบๆ ล่ะมั้ง แต่คุณนี่ไม่เลย มีรอยสักด้วยเนี่ย เหมือนพวกศิลปินมากกว่า”
มินโฮก้มมองตัวเอง เสื้อยืดสีดำคอกว้างทำให้เห็นตัวอักษรสีดำบนหน้าอกด้านซ้าย
แทฮยอนทำคอยืดคอยาวและเขม้นตามองตัวอักษรที่เห็น
“อ่านว่าอะไรอะ”
เขาใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อให้เห็นตัวอักษรเพิ่มขึ้น “อันนี้เหรอ”
“Deuteronomy”
“พระคัมภีร์เก่า?’
“อืม”
“แล้วอันนั้น”
แทฮยอนลูบที่บ่าของตัวเอง หลังจากเห็นตัวอักษรบนร่างกายเขาอีกแห่ง
“BE..”
“BE KIND” เขาบอก “กับข้างนี้ BE NICE”
“เยอะเหมือนกันนะ”
“ไม่เท่าคุณ เรียนศิลปะก็เลยวาดอะไรลงบนตัวเยอะแยะเหรอ”
หมายถึงรอยหมึกบนหลังมือทั้งสองข้าง ข้อมือขาวที่โผล่พ้นปลายแขนเสื้อหรือแม้แต่รอยเลอะบนหน้าอกนั่นก็ด้วย ที่เห็นนี่แค่ส่วนหนึ่งแน่ๆ
“ประสบการณ์ทั้งนั้น”
แทฮยอนเริ่มเล่าถึงที่มารอยสักแต่ละจุด เริ่มจากอพอลโลและวีนัส ตัวอักษรเล็กๆ ที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง
“อันนี้ปานนะ ผมไม่ได้สักมันหรอก” มีจุดใหญ่สีดำตรงหัวแม่มือ
เลิกแขนเสื้อขึ้นให้เห็นคอร์ดกีตาร์พื้นฐานที่เจ้าตัวสักเอาไว้ตอนเริ่มเรียนกีตาร์จริงจัง อีกข้างเป็นรูปอัลบั้มของ NIRVANA คำว่า bliss อวยพรให้ตัวเองมีความสุขหลังผ่านห้วงเวลาแห่งความทุกข์ยากมาได้ หลังคอได้มาเพราะหนังที่ชอบ
รอยที่หน้าอกเป็นผลงานของศิลปินคนโปรด
“จ้องอะไรขนาดนั้น”
เปล่า ไม่ได้จ้อง แค่สนใจต่างหาก
“มันใหญ่มากเลยนี่”
แทฮยอนรวบสาบเสื้อตรงหน้าอกเข้าหากัน
“ขี้โกง คุณโชว์นิดเดียว ผมบอกของตัวเองหมดแล้วเนี่ย แน่จริงโชว์ของตัวเองบ้างสิ”
เขาหัวเราะ “มันอยู่ข้างในถ้าจะดูก็ต้องถอด คุณยังไม่ยอมถอดเลย”
“...”
จู่ๆ อากาศรอบตัวเราก็ร้อนขึ้นมา
แก้มขาวของคนตรงหน้ามีสีเรื่อเหมือนตอนที่วิ่งมาสักระยะ
ให้ตายเถอะ! พูดอะไรออกไปวะมินโฮ
“ถอดดิ”
เราเล่นเกมจ้องตา
ไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่เพื่อถามตัวเองมากกว่าว่าจะไปต่อหรือจะหยุด
เขาไขว้แขนจับชายเสื้อยกขึ้นผ่านหัวพาดไว้บนพนักโซฟา ใช้นิ้วทั้งห้าสางผมดำให้เข้าที่
แทฮยอนยังคงเล่นเกมจ้องตานั้นอยู่
“อยากเห็นไม่ใช่เหรอ”
“เข้ามาสิ”
เป็นมือข้างซ้ายที่วางลงลูบตรงลาดไหล่ BE NICE
“ทำไมถึงเป็น BE NICE..BE KIND”
“ผมเตือนตัวเอง”
“แล้วทำได้มั้ย”
“ที่ผ่านมาก็ทำได้นะ”
“โม้”
“อย่าเพิ่งตัดสินสิ ทำความรู้จักกันก่อน”
“เริ่มจากคืนนี้?”
มือสีแทนจับมือขาวแตะตัวอักษร OXYGEN ที่ข้างเอว
“แล้วคุณจะขาดผมไม่ได้”
“โม้อีกแล้ว”
“ก็ต้องลองดู”
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวร้ายที่ล่อลวงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่มันอดที่จะทำตัวแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“ยิ้มร้าย”
“แบบไหน”
“แบบนี้ไง” นิ้วโป้งข้างที่ไม่มีปานสีดำดันมุมปากเขาขึ้นข้างหนึ่งแล้วใช้ริมฝีปากสีชมพูนั่นดูดกลืนเอารอยยิ้มของเขาไปครอบครอง
นุ่มหยุ่นและหวานเบียร์ เขารับรู้รสชาติแบบนั้น
“ซน”
เสียงห้าวนั้นพูดขึ้นตอนที่มือของมินโฮปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีดำเม็ดที่สาม
“ผมถอดแล้วไง ถึงตาคุณ”
“อือ”
ไม่รู้ว่าเสียงในลำคอนั่นตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มือสีแทนก็ยังได้ทำหน้าที่ต่อไปจนได้เห็นผิวขาวตั้งแต่หน้าอกจนถึงหน้าท้องเต็มตา
เขาไล้ผิวเนียนตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไปถึงกลางแผ่นหลังและใช้ลิ้นตวัดเลียไปตามศิลปะลายอักษรสีหมึกบนหน้าอกก่อนจะหมุนวนเล่นอยู่ที่ตุ่มไตที่แข็งขึ้นรับสัมผัส
“ไม่จิกผมสิคนดี”
“ฮื่อออ”
มือที่ขยุ้มเส้นผมเปลี่ยนมาเกาะไหล่ ลงน้ำหนักนิ้วตรงจุดนั้นแทน
เขาผลักให้แผ่นหลังของอีกคนสัมผัสกับความอุ่นของโซฟา ใช้ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับลงไป มือขาวคู่นั้นเลื่อนจากไหล่กว้างมาคล้องคอรั้งให้ใบหน้าเข้าใกล้จนเหมือนเราหายใจด้วยกลุ่มมวลอากาศเดียวกัน
แทฮยอนหลับตายอมรับทุกจูบไม่ว่าจะเป็น
ริมฝีปาก
หน้าผาก
ข้างแก้ม
ใบหู
เปิดเปลือยซอกคอให้เชยชมดูดดึง ย่นหัวคิ้วเมื่อเมื่อได้รับสัมผัสถูกใจ ลมหายใจขาดห้วง เส้นเสียงภายในลำคอสั่นไหวส่งเสียงครางฮือตอบสนอง
สีผิวของแทฮยอนใกล้เคียงกับสีของผืนผ้าใบ เมื่อมีเส้นสายหรือสีใดๆ แต่งแต้มลงบนนั้นทุกอย่างจึงเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสีชมพูที่เขาสร้าง แตกต่างจากผิวสีเข้มของเขา ริมฝีปากบางนั่นดูดเม้มเท่าไหร่ก็เพียงขึ้นเป็นรอยจางๆ บางที..พรุ่งนี้อาจจะเห็นชัดขึ้นจนต้องซ่อนมันไว้ภายใต้เสื้อเชิ๊ตแขนยาว
มือขวาของมินโฮปลดกระดุมกางเกงเดนิมสีฟ้าอ่อนของคนข้างล่าง รูดซิปลงจนสุดทางของมัน ใช้หลังมือถูไถอวัยวะที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในกางเกงชั้นในสีกรมท่า
“ในห้องดีกว่ามั้ย เราต้องใช้เจล ผมไม่อยากให้คุณเจ็บ” เขากระซิบบอก
“แล้วแต่คุณ”
มินโฮชักชวนให้แทฮยอนล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้นทีละก้าว จากถนนที่ทอดยาวผ่านอพาร์ทเม้นท์ เปิดประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่น เดินเข้ามาในห้องนอน และตอนนี้นอนอยู่บนเตียงนุ่มใต้ร่างเขา
“ช่วยหน่อยสิ” แทฮยอนยกสะโพกขึ้นเพื่อให้กางเกงยีนส์ตัวโปรดและชั้นในเลื่อนผ่านไปกองอยู่ปลายเตียง ตามด้วยกางเกงวอล์มของเจ้าของห้อง
เขาแทรกตัวไปอยู่ระหว่างขาขาวทั้งสองข้าง ใช้ปากและลิ้นละเลงต้นขาด้านในไล่ไปจนถึงจุดกึ่งกลางร่างกาย
“อื้ออออ”
แทฮยอนขยำผ้าปูที่นอนข้างตัวไว้แน่น เมื่อตัวตนถูกกลืนกินจนหมด มินโฮใช้ปากสร้างสัมผัสแปลกใหม่ ใช้เรียวลิ้นเล่นล้อจากโคนสุดปลาย ตวัดเลียและดูดกระตุ้นเส้นประสาทนับร้อยนับพันที่รวมอยู่ตรงจุดที่ตึงแน่นที่สุด
“อ๊ะ..คุณ..”
“มินโฮ” เขาย้ำชื่อตัวเอง
“อื้อออ มินโฮ ช่วยผมที”
เขาให้ตามที่ขอ ครอบครองทั้งหมดนั่นอีกครั้ง แทฮยอนขยับสะโพกสวนเป็นจังหวะ ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายจดจ่อกับตรงนั้นแทรกนิ้วเข้าไปช่องทางด้านหลังช้าๆ เพิ่มขึ้นทีละนิ้วจนถึงสาม สอดสวนปรนเปรอให้ทั้งหน้าและหลัง เพิ่มความเร็วเพื่อรีดเร้นอารมณ์ของอีกคนให้พุ่งถึงขีดสุด
“อ๊าาา”
ของเหลวข้นเหนียวแห่งกามฉีดพ่นภายในปาก มินโฮกลืนรสชาติฝาดเฝื่อนนั้นลงคอ ใช้ลิ้นเช็ดส่วนปลายให้ก่อนผละจาก
เขาเงยหน้าขึ้นมองแทฮยอนที่ยกแขนขึ้นพาดปิดหน้า มองดูหน้าอกเลอะหมึกสะท้อนขึ้นลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ โน้มตัวเข้าใกล้เช็ดเหงื่อที่ผุดพรายตามกรอบใบหน้าและไรผม
“เหนื่อยแล้วรึไง”
แก้มขาวที่แต้มด้วยจุดสีน้ำตาลประปรายเรื่อแดงขึ้นอีก ฟันกระต่ายขบลงที่ริมฝีปากล่าง
“ให้ผมหยุดมั้ย”
มินโฮยันตัวออกห่าง
“อย่า..ไป”
แทฮยอนมองลอดแขนตัวเองและบอกแบบนั้น
เขายิ้มมุมปาก พาตัวเองออกห่างแทฮยอนอีกนิด เอื้อมมือหยิบซองฟอยล์ในลิ้นชัก คว้าขวดเจลติดมือมาด้วยเพื่อใช้มันชะโลมทั่วนิ้วและคลึงวนช้าๆ ที่จีบเนื้ออ่อนนุ่มด้านหลัง จากการใช้นิ้วในตอนแรกมันคับแน่นเกินกว่าที่จะรองรับตัวตนของเขาโดยไม่เตรียมพร้อม
นิ้วเรียวสอดแทรกละเลงเนื้อเจลร้อนทั่วผนังด้านใน เขาถือโอกาสกดเน้นสำรวจหาจุดที่แทฮยอนพอใจ
“มินโฮ”
แทฮยอนใช้มือทั้งสองข้างยื่นมาโอบรอบคอ รั้งให้เข้าไปใกล้ แนบริมฝีปากเข้าหากัน ดูดดึงบดเคล้าจนแดงฉ่ำ มีเสียงครางเล็ดลอดเมื่อนิ้วของเขากดเน้นซ้ำๆ
นิ้วถูกดึงออกเปลี่ยนเป็นอาวุธหุ้มเกราะ การสอดใส่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อขนาดต่าง ช่องทางนั้นคับแน่นเกินไปแม้มีตัวช่วย เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามอยู่เหมือนกัน อาการกลั้นลมหายใจและกัดริมฝีปากจนห้อเลือดนั่นบอกเขา
แผ่นหลังอาจจะเต็มไปด้วยรอยแดงไปแล้วด้วยซ้ำ
“ผ่อนคลายแทฮยอน”
“อื้อ..มัน..เจ็บ”
“ผมจะค่อยๆ ทำ” เขาปลอบ ถอยสะโพกเล็กน้อยออกก่อนจะดันเข้าช้าๆ มือรูดรั้งด้านหน้าเบี่ยงเบนความสนใจ ก้มลงจูบไม่ให้แทฮยอนกัดปากตัวเองอีก
“อื้อออ”
เขาใช้ความอดทนทำอย่างนั้นซ้ำๆ จนร่างกายของสองคนแนบชิด อากาศรอบข้างโอบรอบเราไว้แต่ไม่สามารถแทรกผ่าน เราอยู่นิ่งปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง แทฮยอนต้องการปรับตัว
ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยจังหวะเนิบช้า
“ครั้งแรก?” มินโฮถามสิ่งที่สงสัย
“เปล่า”
“แน่ใจ?”
เขาย้ำสะโพกใช้ส่วนปลายกดลึกชนสุดผนัง
“อ๊ะ..” เสียงที่หลุดออกมาหวานน่าดู คิ้วของคนใต้ร่างขมวดจนเกิดเป็นรอยระหว่างคิ้ว แต่ดวงตาเรียวรีนั้นฉ่ำปรือ
“ยังมีอีกเยอะให้คุณต้องเรียนรู้”
อย่างเช่นการที่เขาหมุนวนบดเบียดเน้นเสยตรงจุดประสัน หรือการถอดถอนตัวตนเกือบสุดความยาวแล้วกระแทกกลับซ้ำๆ
นักเรียนของเขาเรียนรู้โดยสัญชาตญาณ สะโพกที่เปิดเปลือยนั่นขยับในทิศทางตรงข้ามกัน การเคลื่อนไหวของแทฮยอนเป็นไปโดยอิสระ เหมือนตอนที่กำลังวิ่งลงเนินเขา
แต่เนินเขาของเราคงจะลาดชันกว่าเส้นทางข้างนอก เพราะยิ่งวิ่งก็เหมือนจะหยุดไม่อยู่ เราเคลื่อนไหวเร็วขึ้น อากาศรอบตัวก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายเรายิ่งอยากชิดใกล้ ใช้ริมฝีปากจูบแลกลมหายใจกันและกัน
การสอดประสานเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาตอกย้ำตัวตนเข้ากับแทฮยอนซ้ำๆ เร่งจังหวะถี่รัวจนถึงที่สุด มีเสียงหวีดครางอย่างสุขสมเมื่อร่างกายได้ปลดปล่อย เขารู้สึกถึงแรงตอดรัดจากผนังนุ่มของอีกฝ่ายและความอุ่นวาบภายในเครื่องป้องกันของตัวเอง
กลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นฟีโรโมนอวลอยู่รอบกายเรา
เรายังแนบชิดกันอยู่อย่างนั้น รอให้หัวใจเต้นรัวสงบลง
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
หวังว่าจะไม่ใช่เสียงหัวใจของเขาคนเดียว
มันชัดเจนเมื่อวางศีรษะพักลงบนบ่าของแทฮยอน
06.00 น.
นาฬิกาชีวิตทำให้เขาตื่นเวลานี้ทุกวัน แต่ก่อนที่จะขยับตัวเขารู้สึกถึงน้ำหนักที่พาดผ่านเอว
นัมแทฮยอนยังอยู่ตรงนี้ ข้างๆ กัน
“อือออ เช้าแล้วเหรอ”
เอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ
“อืม”
“วันนี้ไม่วิ่งเหรอ”
“คุณอยู่ตรงนี้ ผมจะออกไปวิ่งทำไม”
“หืม?”
“...”
ไม่มีคำตอบเป็นชิ้นเป็นอัน แทฮยอนซุกตัวเข้าหาเขา
“ขอนอนต่ออีกนิดนะ”
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้เขาไปยืนทอดเวลาที่ระเบียงแล้วเหมือนกัน เมื่อองค์ประกอบของยามเช้าสำหรับเขาอยู่ตรงนี้ทั้งคน
…
(last night)
02.11 น.
Yoon : ถึงห้องแล้ว
Yoon : มึงอยู่ไหน
02.25 น.
Yoon : กูง่วง เหนื่อยตายห่า
Yoon : เข้ามาเองนะ กูไม่ล็อกละ
Yoon : แล้วพรุ่งนี้ถ้าจะออกไปวิ่งส่องผู้ชายคนนั้นก็เรื่องของมึง ไม่ต้องปลุกกู
Yoon : ย้ำ!! ไม่ต้องปลุกกู
Yoon : ถึงห้องแล้ว
Yoon : มึงอยู่ไหน
02.25 น.
Yoon : กูง่วง เหนื่อยตายห่า
Yoon : เข้ามาเองนะ กูไม่ล็อกละ
Yoon : แล้วพรุ่งนี้ถ้าจะออกไปวิ่งส่องผู้ชายคนนั้นก็เรื่องของมึง ไม่ต้องปลุกกู
Yoon : ย้ำ!! ไม่ต้องปลุกกู
------------------- [AIR] -----------------
writer : @waru
#510330tracks
track, beating and them
Comments
Post a Comment